ค่าเงินบาทวันนี้ 18 เม.ย. 66 เปิดที่ระดับ 34.49 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลง

ค่าเงินบาทวันนี้ 18 เม.ย. 66 เปิดที่ระดับ 34.49 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลง

ค่าเงินบาทวันนี้ 18 เม.ย. 66 เปิดที่ระดับ 34.49 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ค่าเงินบาทไทยวันนี้ 18 เม.ย. 66 เปิดที่ระดับ 34.49 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลง จากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 34.38 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.35-34.60 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงินธนาคารกรุงไทย ระบุ ค่าเงินบาทไทยวันนี้เปิดที่ระดับ 34.49 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลง จากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 34.38 บาทต่อดอลลาร์ สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท แม้ว่าในช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทจะเคลื่อนไหวอ่อนค่าลง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวลง ทว่าในวันนี้ ก็มีโอกาสลุ้นเงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นมาได้บ้าง ซึ่งต้องรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีนในช่วงเช้า และรายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของฝั่งยุโรปในช่วงบ่าย

โดยในกรณีที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีนออกมาดีกว่าคาดชัดเจน ก็อาจหนุนให้ผู้เล่นในตลาดสะสมการลงทุนในสินทรัพย์ฝั่ง EM Asia มากขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจในโซน EM Asia ก็มีโอกาสได้รับอานิสงส์จากภาพเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งในกรณีนี้ คาดว่า ค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นมาได้บ้าง แต่เงินบาทก็อาจไม่ได้แข็งค่าไปมากนัก โดยมองว่า ควรจับตาการแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับเส้นค่าเฉลี่ย EMA 50 วัน แถว 34.30 บาทต่อดอลลาร์

นอกจากนี้ หากในช่วงบ่าย ตลาดกลับมาเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจฝั่งยุโรปมากขึ้น ซึ่งอาจได้แรงหนุนจากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนีและยูโรโซนที่ออกมาดีกว่าคาด ก็อาจช่วยส่งผลให้ เงินยูโร (EUR) พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้าง กดดันให้เงินดอลาร์อ่อนค่าลงและหนุนการแข็งค่าของเงินบาทได้เช่นกัน

อย่างไรก็ดี ประเมินว่า ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติอาจยังไม่ได้เป็นปัจจัยหนุนเงินบาทฝั่งแข็งค่ามากนัก เนื่องจากยังคงเห็นว่า นักลงทุนต่างชาติยังไม่กลับเข้ามาซื้อบอนด์ไทย หรือยังคงทยอยขายบอนด์ระยะยาวอยู่ ตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มมองว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อจนแตะระดับ 2.00% เป็นอย่างน้อยได้

ในช่วงนี้ คงมองว่า ความผันผวนของตลาดการเงินยังอยู่ในระดับสูงทำให้มองว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.35-34.60 บาทต่อดอลลาร์

ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ สามารถพลิกกลับมาปิดตลาด +0.33% แม้ว่าตลอดช่วงการซื้อขาย ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะถูกกดดันจากความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด โดยเฉพาะหลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด อย่าง ดัชนีภาคการผลิตโดยเฟดสาขานิวยอร์ก (Empire State Manufacturing Index) เดือนเมษายน จะปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับ 10.8 จุด ดีกว่าที่ตลาดคาดไปมาก แต่โดยรวมตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ยังได้แรงหนุนจากความคาดหวังรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มธนาคารและการเงิน ส่งผลให้หุ้นกลุ่มธนาคารยังคงปรับตัวขึ้นต่อได้ (Wells Fargo +4.2%, Morgan Stanley +3.0%)

ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงเล็กน้อย -0.01% กดดันโดยแรงขายทำกำไรหุ้นกลุ่มที่ปรับตัวได้ดีในช่วงก่อนหน้า อาทิ หุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม (Dior -2.3%, LVMH -2.2%) ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีน ก่อนที่จะมีการปรับสถานะถือครองหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดก็เริ่มลดการถือครองหุ้นกลุ่มธนาคารและการเงิน (UBS -3.8%, BNP -2.0%) เพื่อรอจับตารายงานผลประกอบการของหุ้นกลุ่มดังกล่าวเช่นกัน

ส่วนทางฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่กลับมาเชื่อว่าเฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในการประชุมเดือนพฤษภาคม และอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานกว่าคาด ได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง สู่ระดับ 3.60% ซึ่งเป็นโซนแนวต้านที่สำคัญในระยะสั้น (หากปรับตัวขึ้นทะลุโซนดังกล่าว ก็อาจเห็นบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อทดสอบโซน 3.70%-3.80% ได้ไม่ยาก) สอดคล้องกับมุมมองเดิมของที่คาดว่า บอนด์ยีลด์ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้ จากการปรับมุมมองต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยเฟดของผู้เล่นในตลาด ซึ่งคงมองว่า นักลงทุนควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นในการทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ โดยอาจรอลุ้นผลการประชุมเฟดเดือนพฤษภาคมก่อนได้

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หนุนโดยมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยและคงดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานกว่าคาด ทำให้ล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 102.1 จุด ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดยังคงรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ก่อนที่จะมีการปรับสถานะถือครองที่ชัดเจนต่อไป ส่วนในฝั่งราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 2,006 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นการรีบาวด์ขึ้นเล็กน้อย หลังราคาทองคำย่อตัวทดสอบโซนแนวรับแรกแถว 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สะท้อนว่าผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ยังคงรอจังหวะทองคำย่อตัวลง เพื่อเข้าซื้อ (Buy on Dip) โดยโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวดังกล่าว ก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงเช่นกัน

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญที่ต้องรอลุ้นอย่างใกล้ชิด คือ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีน (ทยอยรับรู้ในช่วงเวลา 9.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย) โดย ตลาดประเมินว่า เศรษฐกิจจีนอาจขยายตัวกว่า +3.8%y/y ในไตรมาสแรกของปีนี้ หนุนโดยการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะในฝั่งการบริโภค หรือ ภาคการบริการหลังการเปิดประเทศ ซึ่งสะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการบริการที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในเดือนมีนาคม ตลาดคาดว่า ยอดค้าปลีกอาจขยายตัวกว่า +7.0%y/y ขณะที่ ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) จะขยายตัวเพียง +4.0%y/y สอดคล้องกับดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนที่ไม่ได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเหมือนดัชนี PMI ภาคการบริการ ส่วนยอดการลงทุนสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Investment) อาจโตราว +5.7%y/y (นับจากตั้งแต่ต้นปี)

ส่วนในฝั่งยุโรป บรรดานักวิเคราะห์ประเมินว่า ความกังวลต่อปัญหาระบบธนาคารยุโรปที่คลี่คลายลง อาจหนุนให้บรรดานักลงทุนสถาบันมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจเยอรมนีมากขึ้น สะท้อนผ่านดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนี (ZEW Economic Sentiment) เดือนเมษายน ที่อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 15.1 จุด (ดัชนีสูงกว่า 0 หมายถึง มุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook