ค่าเงินบาทวันนี้ 21 ก.ค. 66 เปิดที่ระดับ 34.20 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลง

ค่าเงินบาทวันนี้ 21 ก.ค. 66 เปิดที่ระดับ 34.20 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลง

ค่าเงินบาทวันนี้ 21 ก.ค. 66 เปิดที่ระดับ 34.20 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ค่าเงินบาทวันนี้ 21 ก.ค. 66 เปิดที่ระดับ 34.20 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลง จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.99 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.00-34.30 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงินธนาคารกรุงไทย ระบุ ค่าเงินบาทวันนี้เปิดที่ระดับ 34.20 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลง จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.99 บาทต่อดอลลาร์ โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง (แกว่งตัวในช่วง 33.96-34.26 บาทต่อดอลลาร์) หลังเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินและรายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด นอกจากนี้ เงินบาทยังถูกกดดันจากโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว โดยราคาทองคำปรับตัวลดลงตามการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท คงมุมมองเดิมว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทนั้นชะลอลง หลังเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้น นอกจากนี้ เริ่มเห็นสัญญาณการขายทำกำไรหุ้นไทยและบอนด์ระยะยาวของนักลงทุนต่างชาติ หลังสถานการณ์การเมืองไทยยังมีความไม่แน่นอนอยู่ ซึ่งความกังวลของนักลงทุนต่างชาติก็อาจทำให้ฟันด์โฟลว์มีทิศทางที่ผันผวนได้ในระยะนี้ โดยนักลงทุนต่างชาติมีโอกาสทยอยขายทำกำไรสินทรัพย์ไทยมากขึ้นได้ โดยในกรณีที่ เงินบาทเผชิญแรงกดดันจากทั้งการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ (ที่อาจมาพร้อมกับการปรับตัวลงของราคาทองคำ) และแรงขายสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้น ก็อาจทำให้เงินบาทอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 34.30-34.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก

อย่างไรก็ดี มองว่า ผู้เล่นต่างชาติบางส่วนที่ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มค่าเงินบาท (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) อาจรอจังหวะการอ่อนค่าของเงินบาทในการเพิ่มสถานะ Long THB ได้ ซึ่งภาพดังกล่าวก็เริ่มสะท้อนผ่านโฟลว์ซื้อบอนด์ระยะสั้นบางส่วน ในช่วงสัปดาห์นี้ของนักลงทุนต่างชาติ นอกจากนี้ เริ่มเห็นการปรับมุมมองของนักวิเคราะห์ต่างชาติบางส่วนที่กลับมาแนะนำให้ Long THB หลังจากที่ในช่วงก่อนหน้าส่วนใหญ่นักวิเคราะห์จะคงมุมมอง Neutral หรือ Wait and See สำหรับค่าเงินบาท

คงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองไทยและบรรยากาศในตลาดการเงินที่อาจพลิกไปมาในช่วงรับรู้รายงานผลประกอบการ ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.00-34.30 บาทต่อดอลลาร์

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวลดลง กดดันโดยการปรับตัวลงแรงของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ และหุ้นสไตล์ Growth ขนาดใหญ่ อย่าง Tesla -9.7%, Netflix -8.4% ที่รายงานผลประกอบการแย่กว่าคาด ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Healthcare นำโดย Johnson&Johnson +6.1% ที่รายงานผลประกอบการดีกว่าคาด ส่งผลให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลง -2.05% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.68%

ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.42% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Healthcare (Novo Nordisk +3.7%) รวมถึงกลุ่มธนาคาร (HSBC +1.8%) ที่ตลาดคาดหวังว่าหุ้นกลุ่มดังกล่าวจะรายงานผลประกอบการที่สดใส อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปกลับเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่ม Semiconductor โดยเฉพาะ ASML -4.9% จากความกังวลว่า ความต้องการใช้ชิพฯ อาจลดลง หลังผู้ผลิตชิพฯ รายใหญ่อย่าง TSMC ปรับลดคาดการณ์ยอดขายลง จากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจโลก

ในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินเริ่มเผชิญความผันผวนบ้าง แต่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งสหรัฐฯ อย่าง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานที่ออกมาดีกว่าคาดพอสมควร ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 3.85% (แกว่งตัวในกรอบ 3.80%-3.88% ในช่วงคืนก่อนหน้า) ทั้งนี้ คงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวปรับตัวขึ้นในการทยอยเข้าซื้อ เช่น หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เข้าใกล้ระดับ 4.00% (หรือปรับตัวขึ้นสูงกว่าระดับดังกล่าว) ก็จะเป็นจังหวะที่น่าทยอยเข้าลงทุน

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หนุนโดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด และความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดผันผวน จากการทยอยรับรู้รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 100.8 จุด (กรอบการเคลื่อนไหว 100.1-101 จุด ในช่วงคืนที่ผ่านมา) ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) ย่อตัวลงสู่ระดับ 1,970 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นเล็กน้อย ซึ่งมองว่า ผู้เล่นบางส่วนอาจรอจังหวะราคาทองคำย่อตัวลงในการเข้าซื้อเก็งกำไรระยะสั้น และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าได้บ้าง

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของอังกฤษ ในเดือนมิถุนายน เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและโอกาสที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะเดินหน้าเร่งขึ้นดอกเบี้ย +50bps หรือชะลอการขึ้นดอกเบี้ย ในการประชุมต้นเดือนสิงหาคม หลังจากที่ล่าสุดอัตราเงินเฟ้อ CPI อังกฤษ ได้ชะลอตัวลงมากขึ้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างปรับลดคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย BOE ณ สิ้นปีลงพอสมควร

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานผลประกอบการบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งอาจกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินช่วงนี้ได้ ส่วนในฝั่งไทย ประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดควรติดตามสถานการณ์การเมืองไทย หลังล่าสุดนักลงทุนต่างชาติเริ่มทยอยขายทำกำไรการลงทุนในหุ้นไทยมากขึ้น

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook