คลังจ่อชง ครม. ลดภาษี “เหล้า เบียร์ สุราชุมชน” หนุนท่องเที่ยวในประเทศ
คลังจ่อชง ครม. ลดภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เตรียมยกเลิกดิวตี้ฟรีขาเข้าทุกสนามบิน หนุนท่องเที่ยว
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิต อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้มีความเหมาะสม เพื่อสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวของไทย เบื้องต้น คาดว่าจะมีข้อสรุปและนำเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาได้ภายในเดือน ธ.ค.นี้ เพิ่มให้เริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือน ม.ค.67 ซึ่งจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการบริโภคและภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยให้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“การปรับโครงสร้างภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ครั้งนี้ จะรวมไปถึงสุราชุมชนด้วย เพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติรู้สึกว่าเมื่อมาเที่ยวประเทศไทย ซึ่งมีทั้งร้านอาหารดีๆ แล้ว ก็ควรจะต้องมีเครื่องดื่มที่ราคาเหมาะสมด้วย ไม่ใช่ราคาลอยอยู่บนฟ้า ต้องทำให้ราคาจับต้องได้ ให้นักท่องเที่ยวรู้สึกว่ามาประเทศไทยแล้วเป็นสวรรค์ของการใช้ชีวิต กิน อยู่ ดื่ม ท่องเที่ยว” ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าว
พร้อมระบุว่า การปรับโครงสร้างภาษีครั้งนี้ น่าจะเป็นระยะยาว เพราะกระทรวงการคลังมองไปถึงเรื่องการลงทุนในธุรกิจหลายตัวที่คาดว่าจะมีเข้ามามากขึ้นด้วย
นายลวรณ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง ยังเตรียมพิจารณายกเลิกการอนุญาตจัดตั้งร้านค้าปลอดภาษี (Duty free) ขาเข้าทุกสนามบิน เพื่อส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือคนไทยที่เดินทางกลับเข้ามาในประเทศเกิดการจับจ่ายซื้อของภายในประเทศมากขึ้น แทนการซื้อสินค้าในร้านปลอดภาษี ก็จะช่วยให้เกิดการใช้จ่ายมากขึ้น
“คนที่ได้อานิสงส์มากที่สุด คือร้านค้า โดยเบื้องต้นทราบว่า ผู้ประกอบการก็ยินดีให้ความร่วมมือกับนโยบายของรัฐบาล” ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุ
ส่วนเรื่องที่ได้ดำเนินการไปแล้ว คือ การปรับเพิ่มวงเงินซื้อสินค้าที่ต้องแสดงต่อศุลกากร จากเดิมตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไป เป็น 20,000 บาทขึ้นไป ซึ่งจะช่วยลดจำนวนนักท่องเที่ยวที่ต้องแสดงสินค้าลงจาก 1.7 ล้านรายต่อปี เหลือประมาณ 500,000 รายต่อปี หรือลดจำนวนคิว/การขอตรวจเอกสารที่ต้องตรวจสินค้า จาก 4,800 คนต่อวัน เหลือเพียง 1,400 คนต่อวัน
รวมทั้งการปรับเพิ่มมูลค่าสินค้าที่ต้องนำไปแสดงต่อสรรพากร 9 รายการ ได้แก่ เครื่องประดับ, ทองรูปพรรณ, นาฬิกา, แว่นตา, ปากกา, สมาร์ทโฟน, แล็ปท็อปหรือแท็บเล็ต, กระเป๋า (ไม่รวมกระเป๋าเดินทาง), เข็มขัด จากเดิมมูลค่าต่อชิ้นตั้งแต่ 1 หมื่นบาทขึ้นไป เป็น 4 หมื่นบาทขึ้นไป และของที่สามารถถือขึ้นเครื่องได้ (carry-on) จากเดิมมูลค่าต่อชิ้นตั้งแต่ 5 หมื่นบาทขึ้นไป เป็นตั้งแต่ 1 แสนบาทขึ้นไป
สำหรับเงื่อนไขการขอคืนภาษีในปัจจุบันนั้น นักท่องเที่ยวต้องมียอดซื้อไม่น้อยกว่า 2,000 บาทต่อร้านต่อวัน และจากการปรับหลักเกณฑ์ข้างต้นนี้ จะช่วยลดขั้นตอนการขอคืนภาษีของนักท่องเที่ยวที่ซื้อสินค้ามูลค่ารวมไม่ถึง 20,000 บาท สามารถไปขอรับคืนภาษีจากเจ้าหน้าที่สรรพากรได้ โดยไม่ต้องผ่านพิธีการทางศุลกากรแต่อย่างใด
“ทั้งหมดนี้ คือเครื่องมือที่กระทรวงการคลังมี และพยายามใช้ เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในการมาเที่ยวประเทศไทย ทำให้เขารู้สึกว่ามีความสุข ตั้งแต่มาเที่ยวจนกลับบ้าน เป็นความพยายามของกระทรวงการคลังและรัฐบาล เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีขึ้นให้กับภาคการท่องเที่ยว ให้เขารู้สึกว่าประเทศไทยน่ามาท่องเที่ยว” นายลวรณ กล่าว