ปริญญา เธียรวร สร้างธุรกิจอสังหาฯ แบบคนไม่รู้

ปริญญา เธียรวร สร้างธุรกิจอสังหาฯ แบบคนไม่รู้

ปริญญา เธียรวร สร้างธุรกิจอสังหาฯ แบบคนไม่รู้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เชื่อว่าหลายคนคงรู้จัก "ปริญญา เธียรวร" ประธานกรรมการ บริษัท วี.เอ็ม.พี.ซี. จำกัด เป็นอย่างดี ถือเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่ก้าวกระโดดจากธุรกิจอพาร์ตเมนต์ โรงแรมและคอนโดฯให้เช่าเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มตัวภายใต้ชื่อโครงการ "เอสทาร่า เรสซิเดนซ์"

 

 

 

 

วี. เอ็ม. พี. ซี. เติบโตมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในส่วนของการเช่า ซึ่งปัจจุบันบริษัทเติบโตมาอย่างต่อเนื่องด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อาทิ ก่อสร้าง พัฒนาและบริหารหมู่บ้านจัดสรร โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์และอพาร์ทเมนท์
โดยมีโครงการให้เช่าอยู่ 4 แห่ง ประกอบด้วย

1. สาทร แกลเลอรี่ เรสซิเดนซ์ คอนโดให้เช่า จับลูกค้ากลุ่มไฮเอ็นซ์ เน้นต่างชาติและสถานฑูต
2. เอสเทร่า สาทร โฮเต็ล เป็นโรงแรมให้เช่า ตั้งอยู่บนถนนสาทรติดสถานีรถไฟฟ้าตากสิน
3.บ้านสวนราม เป็นคอนโดให้เช่า จับกลุ่มลูกค้าทั่วไปและนักศึกษา
4. หอพัก ภูหลวงแมนชั่น หน้ามหาวิทยาลัย หอการค้า จับกลุ่มนักศึกษาเป็นหลัก และล่าสุดโครงการแอสเทร่า เรสซิเดนซ์ พระราม 2-พุทธบูชา โครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์

ปริญญา เธียรวร บอกเล่าถึงประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา ถึงเรื่องราวชีวิตกว่าจะมีวันนี้ว่า "ส่วนตัวคิดอยากมีธุรกิจเป็นของตนเองนานแล้ว พอเรียนจบคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็เริ่มทำงานแรกที่ธนาคารซิติ้แบงค์ ทำงานเป็นพนักงานแบงก์มาโดยตลอดจนกระทั่งจบปริญญาโท สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ทำงานแบงก์ประมาณปี 2541 จนถึงปี 2546 เป็นช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจพอดี ตอนนั้นเห็นได้ชัดเลยว่าคนที่ประสบความสำเร็จ คนที่มีการวางแผนที่ดี หรือคนที่ล้มเหลวและล้มละลาย เป็นอย่างไร
ประกอบกับเป็นช่วงที่แต่ละแบงก์อยากปล่อยหนี้เสียที่ยึดมาจากลูกค้าเยอะมาก ผมมองว่าหลายๆ โครงการที่แบงก์ยึดมาส่วนใหญ่ตัวโครงการไม่มีปัญหาเลย มีปัญหาที่วินัยการใช้เงินของเจ้าของโครงการมากกว่า

ประการต่อมาคือ ถ้าทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยการซื้อโครงการที่ถูกยึดมามันเร็วดี แทนที่จะไปเสียเวลาก่อสร้างเอง และที่สำคัญราคาไม่ได้เลวร้ายเลย ค่อนข้างจะโอเคด้วยซ้ำ เพียงแค่กู้เงินเพิ่มอีกนิดแล้วมาปรับปรุงอีกหน่อย จากนั้นก็ปล่อยให้เช่าได้แล้ว
สุดท้ายผมเลยตัดสินใจลาออกจากธนาคารซิตี้แบงก์ แล้วหันมาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มตัว เริ่มต้นทำธุรกิจด้วยตัวคนเดียว ทำด้วยความที่ไม่รู้ ไม่มีประสบการณ์และไม่มีความรู้ในงานด้านนี้แม้แต่น้อย

ใช้วิธีศึกษาและเรียนรู้เอาเองจากการอ่านหนังสือ หรือถามเพื่อนๆ บ้าง
จากนั้นก็ลองผิดลองถูก ล้มลุกคลุกคลานอยู่ประมาณ 4-5 ปี ทำไปศึกษาไป เรียกว่าบริษัทนี้ผมสร้างมันมากับมือของผมเอง"

จากธุรกิจที่สร้างมากับมือ โดยเริ่มต้นจากศูนย์ ปัจจุบัน บริษัท วี. เอ็ม. พี. ซี.จำกัด มีบุคลากรโดยประมาณ 100 กว่าคน หากถามถึงอุปสรรคและปัญหาในการทำธุรกิจแบบคนไม่รู้ คุณปริญญาบอกว่า
"ปัญหาและอุปสรรคในช่วงแรกเริ่มทำธุรกิจสำหรับผมคือ ทำไม่เป็น ไม่มีความรู้ แต่อาศัยศึกษาด้วยตัวเองและเป็นการศึกษาที่ต้องเรียนรู้เยอะมากๆ ซึ่งผมคิดว่าความรู้ไม่มี ไม่เป็นไร แต่ต้องศึกษา ไม่ใช่ความรู้ไม่มีแล้วซี้ซั่วทำ ไม่ใช่
ผมเชื่อว่าไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิด ทุกคนเริ่มต้นมาจากศูนย์หมด ฉะนั้นคนอื่นๆ ยังเริ่มต้นและประสบความสำเร็จได้ เราก็ต้องเริ่มต้นได้เหมือนกัน"

จุดเด่นของ "วี. เอ็ม. พี. ซี."
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หัวใจสำคัญอยู่ที่โลเคชั่น ถ้าเลือกโลเคชั่นที่ดีต่อไปในระยะยาวธุรกิจอยู่ได้ เพราะโครงการจะขายตัวมันเอง ธุรกิจอสังหาฯไม่มีที่ไหนที่ทำได้อย่างมั่นคงโดยที่โลเคชั่นไม่ดี เป็นไปไม่ได้ โลเคชั่นต้องดีถึงจะโอเค
จริงอยู่ที่ผู้ประกอบการทุกคนย่อมต้องมองหาโลเคชั่นที่ดี แต่ผมมองว่าเป็นเรื่องของจังหวะเวลาและดวงด้วยส่วนหนึ่ง เพราะที่ดินบางแปลงบางทีไปติดต่อขอซื้อตั้งนาน เจ้าของที่ไม่ยอมขายให้ แต่วันดีคืนดีโทรมาบอกขายที่ให้แล้ว แบบนี้ก็มีเหมือนกัน แต่สิ่งที่เหลือคือ เมื่อเห็นที่ดินแล้วเราคิดออกมั้ยว่าควรจะทำอะไรกับมันบ้าง

แผนงานต่อจากนี้ไป
สิ่งแรกคือ ผมยังคงทำธุรกิจเช่ากับขายไปเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันสิ้นปีนี้หรือประมาณต้นปีหน้าจะเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรอีก 1 โครงการ โดยมีมูลค่าโครงการ 155 ล้าน และโครงการที่ 2 ประมาณ 1,200 กว่าล้าน จริง ๆ ไม่เรียกว่าทำธุรกิจแบบก้าวกระโดด แต่เป็นเรื่องปกติของการทำธุรกิจมากกว่าที่ต้องเติบโตไปเรื่อยๆ

กลุ่มเป้าหมายที่วางไว้
เนื่องจากโครงการแรกราคาขายเฉลี่ยหลังละ 15 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มลูกค้าจะเป็นระดับบนอยู่แล้ว อย่างที่บอกคือ ขึ้นอยู่กับทำเล บางทำเลสร้างให้ตายก็ขายไม่ได้ เพราะคนไม่อยู่ แต่โลเคชั่นที่ผมเลือกเป็นโลเคชั่นที่คนมีกำลังซื้ออยู่กัน และคนกลุ่มนี้ต้องการเปลี่ยนพฤติกรรม อาจจะเคยอยู่ห้องแถวแล้วมีเงินมากขึ้น หรือเศรษฐกิจดีขึ้นเลยอยากเปลี่ยนมาอยู่บ้านเดี่ยวเป็นของตัวเอง

ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจอสังหาฯ สะเทือน
อย่างแรกเลยน่าจะเป็นเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ แต่สังเกตดูว่าทุกๆ วิกฤษเศรษฐกิจจะเป็นเหมือนเหรียญสองด้านเสมอ จะมีคนได้และคนเสีย จะไม่มีแบบอยู่ดีๆ ฟุบทั้งประเทศ เป็นไปไม่ได้ ยกตัวอย่างตอนปี 40 ทุกคนไม่เคยเจอหนี้มากขนาดนั้น หลังจากนั้นจะเห็นได้ชัดว่าทุกบริษัทไม่กู้หนีต่างประเทศเท่าไหร่ เพราะกลัวกันหมด

เมื่อไม่กู้หนี้ต่างประเทศก็หันมากู้เงินบาทแทน พอเกิดการกู้เงินบาทมากขึ้นก็ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยแข็งแรงขึ้น เพราะช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งคนที่ทำธุรกิจอิมพอร์ตจะได้เปรียบ คือซื้อของเข้ามาถูก ถึงแม้ว่าตอนขายออกราคาอาจจะตกไปบ้าง แต่ก็ชดเชยกับต้นทุนที่ลดลง ดังนั้น ธุรกิจไทยในช่วงนี้จะพลิกไปพลิกมาตลอดเวลา

การสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า
ถ้าเป็นบ้านเดี่ยวจะสร้างให้เสร็จก่อนแล้วค่อยเปิดขาย ผมจะไม่ขายกระดาษ บริษัทจะสร้างบ้านให้ลูกค้าเห็นก่อนเลย เพื่อที่ลูกค้าจะได้เห็นว่าโปรไฟล์การสร้างบ้านเราเป็นอย่างไร บริษัทใช้ของดีจริง ทั้งนี้ส่งผลให้คู่ค้าเกิดความมั่นใจมากขึ้น
เมื่อสร้างบ้านเสร็จแล้วจึงจะเชิญลูกค้าไปดูว่าบริษัททำบ้านสไตล์นี้ ใช้ของประมาณนี้ ถ้าลูกค้าเห็นแล้วเป็นอย่างไร ก็จะช่วยกระจายข่าวแบบปากต่อปากได้ง่ายขึ้น

ท้อแท้และกำลังใจในการทำงาน
ถามว่าท้อมั้ย คิดได้แต่ท้อไม่ได้ ต้องทำเพราะเป็นบริษัทของเรา ที่สำคัญคือ ผมเลือกเองที่จะออกมาทำธุรกิจนี้ ไม่ใช่โดนไล่ออกจากแบงก์ แต่ผมลาออกมาเอง คิดว่าถ้าต้องเหนื่อยกับการทำงานให้แบงก์ สู้ออกมาทำธุรกิจของตัวเองน่าจะโอเคกว่า ยอมทิ้งเงินแสนมาทำธุรกิจอสังหาฯ ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกิดมาไม่เคยทำและเริ่มต้นจากศูนย์

หลักในการทำงาน
ต้องสนใจงานที่ทำ และตั้งใจทำจริง ๆ


ให้ความสำเร็จกับตัวเองในวันนี้ 

การทำงานเป็นเหมือนกิจกรรมส่วนหนึ่งของชีวิต ทำไปเรื่อยๆ ผมไม่มีความคิดว่าวันนี้ประสบความสำเร็จหรือยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่จะขอทำไปเรื่อย ๆ ลักษณะการทำงานของผมคือ จะค่อนข้างดูเรื่องดีเทลมากกว่า ต้องลงไปเดินดูหน้างานเองเป็นประจำ ค่อนข้างลุย อาจจะเป็นเพราะว่าบริษัทนี้เราสร้างมันมากับมือด้วยส่วนหนึ่ง ทุกอย่างจึงต้องดูแลเองเกือบทุกขั้นตอน 

ผมไม่ได้มองว่าทุกวันนี้เป็นการทำงาน แต่เป็นการเรียนรู้และศึกษาตลอดเวลา ที่สำคัญคือ ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ ผมเองคุยกับช่างประจำว่าต้องทำอย่างไร ทำไมต้องทำอย่างนี้เป็นเรื่องปกติ อย่ามองว่าคนอื่นมีความรู้น้อยกว่าเราหรือไม่มีความรู้ เพราะการ

ทำงานมันคนละสายงานกัน
ถ้าเป็นด้านการเงินหรือเรื่องบัญชี แน่นอนว่าคุณต้องมาถามผม แต่ถ้าเป็นสายช่างผมต้องถามคุณ เพราะผมไม่รู้ ฉะนั้น ทุกอย่างคือการเรียนรู้ และที่สำคัญคือ ผมรู้สึกสนุกไปกับการทำงานในแต่ละวัน


ผู้เขียน : ณัฐกานต์
ช่างภาพ : ณัฐกานต์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook