ความเชื่อเหนือธรรมชาติสุดแปลกของคนญี่ปุ่น ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน
แม้จะเป็นประเทศที่ก้าวหน้าด้วยเทคโนโลยีประเทศหนึ่งของโลก แต่ความเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติของญี่ปุ่นนั้น บางทีก็แปลกจนเหมือนมาจากอีกโลกเลย เริ่มตั้งแต่เบาะๆ อย่าง ถ้าจามแปลว่ามีคนนินทา ถ้าทำกระจกแตกจะโชคร้าย ถ้าเจอใบโคลเวอร์สี่แฉกจะโชคดี เป็นต้น แต่ก็ยังมีความเชื่อที่แปลกหลุดโลกกว่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่บอกไม่ได้ด้วยว่า มีต้นกำเนิดมาจากไหน หรือใครคิด เราลองมาเช็คกันเลยดีกว่า
ตุ๊กตาไล่ฝน หรือ Teru Teru bouzu (てるてる坊主)
ถ้าคุณไปที่ญี่ปุ่น แล้วบังเอิญเห็นก้อนสีขาวๆ เหมือนก้อนสำลีที่ห่อด้วยผ้าห้อยอยู่นอกชายคา ขอให้รู้ว่า นั่นแหละคือ ตุ๊กตาไล่ฝน หรือ Teru Teru bouzu มีบางข้อมูลกล่าวว่า ตุ๊กตาไล่ฝนนี้มีมาตั้งแต่ยุคเอโดะ โดยได้รับอิทธิพลมาจากประเทศจีน คนญี่ปุ่นเชื่อว่า ตุ๊กตาตัวนี้จะช่วยไล่ฝน เพียงแค่ทำตุ๊กตาแล้วห้อยไว้ที่หน้าต่าง วันรุ่งขึ้นอากาศจะปลอดโปร่ง ฝนไม่ตก ตามความเชื่อดั้งเดิม ตุ๊กตาที่ห้อยเพื่อไล่ฝนนั้นไม่มีหน้าตา จนกระทั่งหากว่าวันรุ่งขึ้นฝนไม่ตกจริงๆ ก็ค่อยวาดหน้าแล้วนำตุ๊กตาไปลอยที่แม่น้ำ แต่หากไม่สำเร็จ วันรุ่งขึ้นฝนตก ก็ให้เอาตุ๊กตาตัวนั้นไปลอยที่แม่น้ำโดยไม่ต้องวาดหน้าตา แต่เนื่องจากตุ๊กตาไล่ฝนเวลามีใบหน้าแล้วดูน่ารักมาก คนญี่ปุ่นเลยแหกกฎ แขวนตุ๊กตาแบบที่เขียนใบหน้าแล้วไปเลย
ถ้าคุณอยากลองห้อยตุ๊กตาไล่ฝนดูที่บ้าน เช็คดูให้แน่ใจด้วยว่า คุณห้อยตุ๊กตาเงยหน้าขึ้น เพราะหากตุ๊กตาก้มหน้าลง เขาว่าจะเป็นไปในทิศทางตรงข้าม คือวันรุ่งขึ้นฝนจะตกไปทั้งวันเลย
ถ้าเทชาลงถ้วยแล้วใบชาตั้งขึ้น จะโชคดี
ถ้าคุณเทชาจากกาลงถ้วยแล้วมีใบชาที่ตั้งขึ้น แทนที่จะนอนเป็นแนวยาวที่ก้นถ้วย เขาว่ากันว่าจะโชคดี ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน อาจจะเพราะว่ามันเกิดขึ้นได้ยาก เหมือนกับใบโคลเวอร์สี่แฉกที่ไม่ค่อยเห็นมากนัก คนที่เจอก็เลยเหมือนเป็นคนโชคดีก็เป็นได้ แต่เนื่องจากทุกวันนี้คนญี่ปุ่นมักดื่มชาที่ขายเป็นขวด มากกว่าชงชาดื่มเอง ซึ่งชาที่ขายเป็นขวดนั้นกรองใบชาออกไปแล้ว ดังนั้นความเชื่อนี้จึงไม่ค่อยได้ยินมากเหมือนแต่ก่อน
แต่ถ้านอนหันหน้าไปทางทิศเหนือ จะโชคไม่ดี
ข้อนี้อาจมีสาเหตุมาจากคนญี่ปุ่นจะหันหัวศพคนตายไปทางทิศเหนือก็เป็นได้ นอกจากทิศเหนือแล้ว ยังมีความเชื่อในเรื่องทิศแบบอื่นๆ ด้วย เช่น ถ้านอนหันหน้าไปทางตะวันออกจะช่วยให้เยาว์วัยขึ้น และหากหันหน้าไปตรงที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ก็จะทำให้สำเร็จในเรื่องหน้าที่การงาน หากหันหน้าไปทางตะวันตก จะช่วยให้พักผ่อนได้เต็มที่ แต่หากหันหน้าไปทางทิศใต้อาจทำให้ฝันร้าย
ถ้าตัดเล็บตอนกลางคืน จะไม่ได้ฝังศพพ่อแม่
อันที่จริงความเชื่อนี้ค่อนข้างแพร่หลายในหลายที่ ตั้งแต่เกาหลี มาจนถึงคนไทยก็มีพูดเหมือนกัน สันนิษฐานได้ว่า น่าจะเป็นเรื่องของความปลอดภัย เพราะในสมัยก่อนคนไม่ได้ตัดเล็บด้วยกรรไกรตัดเล็บที่สะดวกใช้อย่างทุกวันนี้ แถมยังไม่มีไฟฟ้าใช้อย่างในปัจจุบันด้วย ซึ่งการตัดเล็บตอนกลางคืนในไฟสลัวๆ กับอุปกรณ์มีคมอย่างมีดหรือดาบนั้น เสี่ยงมากที่จัดตัดโดนเนื้อแทนที่จะโดนเล็บ ดังนั้น ห้ามไว้จึงปลอดภัยกว่า
อย่าเขียนชื่อใครด้วยหมึกสีแดง
อันนี้มีคนพูดกันหลายทฤษฎีเลยว่า ทำไมเขียนชื่อคนด้วยหมึกสีแดงถึงไม่ดี อย่าแรกอาจเป็นเพราะสีแดงชวนให้นึกถึงสงครามและเลือด อย่างต่อมา ก็คือในสมัยก่อน ถ้าใครสร้างหลุมศพโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ ชื่อบนหลุมศพจะถูกสลักเป็นสีแดง แต่เมื่อตายไปแล้ว ชื่อจะถูกเปลี่ยนเป็นสีดำ อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หมึกสีแดงกลายเป็นสิ่งไม่ดีก็คือ ในบางเขตของญี่ปุ่น จะเขียนชื่อของอาชญากรด้วยสีแดง นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังมีสำนวนว่า Akaji ni naru หรือ กลายเป็นตัวเลขสีแดง ซึ่งมีความหมายว่า ธุรกิจไม่ดี (คล้ายๆ คำว่า บัญชีติดตัวแดง ในภาษาไทย) ส่วนถ้าธุรกิจประสบความสำเร็จ จะใช้คำว่า Kuroji ni naru หรือ กลายเป็นตัวเลขสีดำ คงด้วยการนำไปใช้กับสิ่งไม่ดีไม่งามบ่อยๆ นี่เอง จึงทำให้ สีแดง กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเลวร้ายไปโดยปริยาย
ความเชื่อแปลกๆ เหล่านี้ บางครั้งก็ดูล้าสมัยหรือไม่มีที่มา แต่หากพิจารณาดูแล้วก็อาจะสะท้อนความจริงไว้เบื้องหลัง เช่น ความเชื่อที่ว่า ถ้าสะอีกร้อยครั้งจะต้องตาย อันที่จริงการสะอึก ก็เป็นอาการที่แสดงถึงความไม่ปกติของร่างกายอยู่แล้ว คนสมัยก่อนที่ยังไม่มีความรู้เรื่องหยูกยา จึงเชื่อมโยงไปว่า ถ้าเป็นมากๆ ก็จะต้องตาย เป็นต้น ในปัจจุบันคนญี่ปุ่นอายุมากส่วนใหญ่ ก็ยังฝังใจกับความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ ดังนั้นบางเรื่องอย่าง การเขียนชื่อคนด้วยปากกาสีแดง ก็ยังถือเป็นการกระทำที่หยาบคายและไม่สุภาพ ดังนั้นถ้าคุณไปเยือนประเทศญี่ปุ่น อย่าลืมให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้ด้วย