โรงหนังไดรฟ์-อิน จากโรงหนังเพื่อครอบครัว สู่ความโรแมนติกของหนุ่มสาวอเมริกัน
โรงหนังไดรฟ์-อิน (Drive-in) แห่งแรกในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ เกิดขึ้นที่เมืองแคมเดน (Camden) รัฐนิวเจอร์ซี สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1933 โดยต้นเหตุของการออกแบบโรงหนังที่ต้องนั่งดูกลางแจ้งในรถยนต์ส่วนตัวมาจาก ริชาร์ด ฮอลลิงชี้ด (Richard Hollingshead) ลูกชายบริษัทยานยนต์ชื่อ Whiz Auto Products เขาและคุณแม่เป็นคอหนังตัวยงที่ชอบการเข้าไปดูหนังในโรงภาพยนตร์อย่างมาก แต่โรงภาพยนตร์ในยุคบุกเบิกนั้นไม่ได้เบาะนุ่ม ที่กว้าง นั่งสบายอย่างในปัจจุบัน
คุณแม่ของริชาร์ดมักจะประสบปัญหาหนึ่งที่ถือเป็นเรื่องใหญ่มากต่ออรรถรสในการดูหนังนั่นก็คือ เก้าอี้นั่งที่หาความสบายไม่ได้ อีกทั้งบรรยากาศในโรงภาพยนตร์ยุคนั้นก็ช่างคับแคบ ชวนอึดอัด ไม่ถูกใจคุณแม่ของเขาสักเท่าไหร่ ริชาร์ดจึงพยายามหาทางออกที่น่าจะลงตัวด้วยการจัดฉายหนังกลางแปลงที่อยู่กลางแจ้ง แต่ต้องมีข้อแม้ว่าสามารถกันลมหนาว และหลบฝนได้อย่างทันท่วงที ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือ ที่นั่งในรถยนต์นั่นเอง กฎของโรงภาพยนตร์แบบใหม่จึงมีเพียงแค่หาจุดที่ตั้งจอฉายหนังขนาดใหญ่ให้ได้ และเป็นลานกว้างให้จอดรถที่มาแทนเก่าอี้นั่งได้อย่างสะดวก และริชาร์ดก็ได้เปิดโรงหนังไดรฟ์-อินแห่งแรกเมื่อเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ.1933 ในชื่อ Automobile Movie Theatre โดยมีสโลแกนในการชักชวนลูกค้าให้เข้ามาชมว่า “The whole family is welcome, regardless of how noisy the children are.” ยินดีต้อนรับทั้งครอบครัว เด็กเสียงดังแค่ไหนก็ไม่เป็นไร
โรงหนังไดรฟ์-อิน อดีตสถานที่เดทสุดฮิตของหนุ่มสาว
กิจการของ Automobile Movie Theatre ต้นตำรับอยู่ได้ไม่นานก็ขาดทุน และในช่วงปี 1940 ก็มี โรงหนังไดรฟ์-อิน เกิดขึ้นในอเมริกาเพียง 20 แห่ง แต่เมื่อลิขสิทธิ์จัดตั้งโรงหนังไดรฟ์-อินของ ริชาร์ด ฮอลลิงชี้ด หมดอายุในปี 1950 คอนเซ็ปต์การจอดรถดูหนังก็ไม่ได้ผูกกับเจ้าใดเจ้าหนึ่ง และกลายเป็นความเฟื่องฟูของหนังกลางแปลงตามมา ส่งผลให้มี โรงหนังไดรฟ์-อิน เกิดขึ้นกว่า 4,000 แห่งทั่วอเมริกา
ความเป็นส่วนตัวของโรงหนังไดรฟ์-อิน ทำให้วัฒนธรรมนี้กลายเป็นวัฒนธรรมของหนุ่มสาวช่วงทศวรรษ 1950 -1960 ยุคที่วัยรุ่นเริ่มขบถต่อวัฒนธรรมแบบรุ่นพ่อแม่ และตรงกับช่วงกำเนิดดนตรีร็อคแอนด์โรล กระแสหนุ่มสาวนักแสวงหาเสรีภาพในอเมริกาส่งผลโดยตรงทำให้โรงหนังแบบไดรฟ์-อิน ได้รับความนิยมอย่างสูงมาก ลานจอดรถที่ฉายหนังกลางแปลงกลายเป็นแหล่งแฮงก์เอาท์ และเป็นสถานที่เดทยอดฮิตของหนุ่มสาว นอกจากนั้นโรงหนังไดรฟ์-อินยังได้กลายเป็นกิจกรรมของครอบครัวในช่วงฤดูร้อนฟ้าโปร่ง ความฮอตฮิตของโรงหนังไดรฟ์-อินยังได้ถูกเล่าไว้ในหนังไซ-ไฟวัยรุ่นย้อนยุคสุดฮิตเรื่อง Back to the Future ซึ่งออกฉายครั้งแรกในปี 1985 อีกด้วย
ยุคตกต่ำที่มาพร้อมกับวิดีโอ
ยุคตกต่ำของโรงหนังไดรฟ์-อิน ตรงกับช่วง 1970 ทางสมาคมผู้ประกอบการโรงหนังไดรฟ์-อิน เชื่อว่า ความนิยมต่อโรงหนังไดรฟ์-อินเริ่มเสื่อมลงโดยมีสาเหตุหลักๆ มาจากการเกิดขึ้นของ หนังวิดีโอ โดยม้วนวิดีโอในระบบ VHS เริ่มต้นขึ้นในปี 1966 และถือว่าเป็นความแปลกใหม่ สร้างทางเลือกให้ผู้ชมสามารถดูหนังจากม้วนวิดีโอผ่านเครื่องเล่นจากจอทีวีที่บ้านอย่างไม่จำกัดช่วงเวลา ลูกค้าหนังแบบวิดีโอสามารถเลือกได้ว่าจะซื้อขาดมาครอบครอง หรือเช่าจากร้านเช่าวิดีโอในราคาที่ถูกกว่า
กระแสหนังไดรฟ์-อินถูกตอกฝาโรงอีกครั้งด้วยกฏหมายใหม่ในอเมริกาที่ปรับเวลาเฉพาะฤดูร้อน (เมษายน-ตุลาคม) ให้แตกต่างจากเดิม ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำหนดเวลาเริ่มฉายภาพยนตร์กลางแปลงที่ต้องเริ่มตอนใกล้ 4 ทุ่ม เรียกว่ากว่าหนังจะจบก็ราวๆ เที่ยงคืน ซึ่งเป็นรอบที่ดึกเกินไปสำหรับกลุ่มครอบครัว รวมทั้งกลุ่มคนทำงานที่อยากจะมาดูหนังช่วงกลางสัปดาห์ ทำให้รายได้ของโรงหนังไดรฟ์-อินน้อยลงกว่าเดิม แม้ในช่วงสุดสัปดาห์จะยังคงมีผู้ชมหนาแน่นก็ตาม (เพระไม่มีใครสามารถมาดูวันธรรมดาได้)
ขณะที่ช่วงปลายทศวรรษ 1970-80 โรงภาพยนตร์ในอาคารเริ่มปรับปรุงเทคโนโลยีเครื่องฉายและระบบเสียงที่ดีขึ้น ทำให้การชมภาพยนตร์มีความตื่นเต้นระทึกขวัญเพิ่มขึ้นด้วยระบบเสียงรอบทิศทาง อย่างระบบเสียงของ DOLBY และ ระบบ THX รวมทั้งการสร้างภาพจากคอมพิวเตอร์กราฟิก (CGI) เทคนิคพิเศษต่างๆ ทั้งภาพและเสียงถูกพัฒนาขึ้นมาสำหรับโรงภาพยนตร์มากขึ้น พร้อมกับเปิดตัวภาพยนตร์อย่าง JAWS, Star Wars และ E.T. ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของ ภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ หรือหนังทำเงินถล่มทลาย วัดจากรายได้การขายตั๋วที่หน้าโรง (หรือเรียกว่า บ็อกซ์ออฟฟิศ -ที่มาของการจัดอันดับบ็อกซ์ออฟฟิศ) ซึ่งหนังเหล่านี้ต้องการโรงภาพยนตร์ที่มีเทคโนโลยีการฉายที่มีคุณภาพ ไม่เหมาะกับการดูแบบกลางแปลงเท่าใดนัก
COVID-19 และกระแส โรงหนังไดรฟ์-อิน ที่กำลังกลับมา
ปัจจุบันทั้งหนังกลางแปลง และโรงหนังไดรฟ์-อิน ล้วนกลายเป็นของหายาก จะได้ดูก็ต่อเมื่อเป็นกิจกรรมทางวัฒนธรรม รำลึกประวัติศาสตร์ ปัจจุบันในอเมริกาเองมีโรงหนังไดรฟ์-อิน เปิดบริการอยู่เพียง 300 กว่าแห่ง ลดจากยุครุ่งเรืองเมื่อ 60 ปีก่อนที่เคยมีทั่วอเมริกาถึง 4,000 แห่ง โดยตัวเลขล่าสุดที่ระบุใน www.driveinmovie.com บอกว่า ในปี 2020 มีโรงหนังไดรฟ์-อิน ทั่วสหรัฐอเมริกาที่ยังคงเปิดบริการอยู่เพียง 315 แห่ง ในแคนาดา มี 37 แห่ง ในอังกฤษราว 20 แห่ง ในออสเตรเลียมีเพียง 15 แห่ง ส่วนที่เกาหลีใต้นั้นซีรีส์โรแมนติกต่างๆ สร้างกระแสโรงหนังไดรฟ์-อินให้กลับมาอยู่ในกระแสได้เป็นพักๆ เท่านั้น
ปัจจุบันการปรับตัวสู่สังคมที่ต้องเว้นระยะห่างกันทางกายภาพเพราะการระบาดของ COVID-19 ทำให้สถานที่ชุมนุม การรวมผู้คนจำนวนมากจำต้องถูกระยับ และตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาโรงภาพยนตร์ก็จำเป็นต้องปิดการให้บริการลงชั่วคราว และแม้ในตอนนี้โรงภาพยนตร์ในหลายประเทศรวมทั้งไทยจะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง แต่ก็มีการจำกัดจำนวนผู้เข้าชม ซึ่งกระทบโดยตรงต่อรายได้ต่อรอบฉาย
ทางออกหนึ่งของกิจการฉายภาพยนตร์ในหลายประเทศคือการกลับมาของโรงหนังไดรฟ์-อิน และนั่นก็รวมถึง โรงหนังไดรฟ์-อินรุ่นบุกเบิกอย่างโรง Ocala drive-in ที่รัฐฟลอริดา ซึ่งเปิดกิจการตั้งแต่ปี ค.ศ. 1948 และกลับมาปรับปรุงสถานที่ให้ทันสมัยเปิดให้บริการอีกครั้งเมื่อปี 2011 โดยโปรแกรมที่เข้าฉายในเดือนมีนาคมที่ผ่านมามี Trolls World Tour ภาพยนตร์แอนิเมชันที่กำหนดฉายในโรงปกติปี 2020 แต่ต้องงดไปด้วยพิษโควิด-19 , Back to the Future ภาพยนตร์สร้างเมื่อยุค 80 ที่เล่าเรื่องวัฒนธรรมหนุ่มสาวอเมริกันกับโรงหนังไดรฟ์-อินยุค 50 และเรื่อง Horror Nights แนวสยองขวัญ ที่เป็นแนวหนังยอดฮิตในยุคไดรฟ์-อินรุ่งเรืองเมื่อ 60 ปีก่อน และล่าสุดในล่าสุดไดรฟ์-อิน ได้ถูกนำมาใช้กับการจัดงานเทศกาลดนตรี เต้นกันอย่างห่างๆ บนรถใครรถมันไปเป็นที่เรียบร้อย
อัลบั้มภาพ 7 ภาพ