Atomic Blonde 2 และภาคต่อ Mad Max: Fury Road อย่าง Furiosa มาแน่
หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมาหนังแอ็คชั่นเรื่องดังทาง Netflix เรื่อง The Old Guard ได้รับการตอบรับจากผู้ชมเป็นอย่างดี แถมนักวิจารณ์ก็ยังร่วมเทคะแนนไปในทิศทางบวก ทำให้นักแสดงนำหญิงอย่างชาร์ลิซ เธอรอนได้รับการจับตามองจากผู้ชมอีกครั้ง
ย้อนกลับไปในปี 2017 Atomic Blonde ถือเป็นหนังแอ็คชั่นฟอร์มกลางที่ใช้ทุนสร้างประมาณ 30 ล้านเหรียญฯ แต่สามารถทำกำไรทั่วโลกสูงถึง 100 ล้านเหรียญฯ ตัวหนังเล่าเรื่องราวของลอร์เรน โบรห์ตัน สายลับหญิงจากหน่วยราชการลับของอังกฤษ ซึ่งเดินทางมาทำภารกิจที่เยอรมันในการตามหาสปายกลาสที่ครอบครองเดอะลิสต์ ไฟล์ซึ่งรวบรวมบรรดาชื่อสายลับของอังกฤษทั้งหมด ซึ่งถ้าหากเล็ดรอดออกไปอาจจะเป็นอันตรายต่อหน่วยข่าวกรองได้ เธอได้รับความช่วยเหลือจาก เดวิด เพอร์ซิวัล (เจมส์ แมคอะวอย) สายลับที่ทำธุรกิจมืดในเยอรมัน
ลอร์เรนต้องแข่งกับเวลาและหน่วยงานจากเคจีบี (รัสเซีย) ของบรีโมวิชที่แผ่อิทธิพลในวงกว้างในเยอรมัน และยังมีผู้เกี่ยวข้องอีกหลายรายที่เข้ามามีเอี่ยวที่ทำให้ภารกิจของลอร์เรนนั้น “หิน” กว่าที่คิดไม่ว่าจะเป็น สายลับฝรั่งเศสอย่าง เดลฟีน (โซเฟีย โบเทลล่า) และซีไอเอฝั่งอเมริกันอย่าง เคิร์ตเฟลด์ (จอห์น กู้ดแมน) ท่ามกลางฉากหลังในช่วงเวลากำแพงเบอร์ลินกำลังล่มสลายในปี 1989
จุดเด่นของ Atomic Blonde เราอาจจะกล่าวได้ว่ามันคือ John Wick เวอร์ชั่นผู้หญิง (ซึ่งตัวหนังเองก็กำกับโดยเดวิด ลีทช์เช่นเดียวกัน) ตัวหนังจึงเป็นส่วนผสมระหว่างหนังสายลับกับหนังแอ็คชั่นต่อสู้ ซึ่งมีสไตล์การต่อสู้ในระยะประชิด เน้นศิลปะป้องกันตัว นอกจากนี้คิวบู๊ที่ปรากฏอยู่ในเรื่องก็ล้วนแล้วแต่น่าจดจำไม่ว่าจะเป็น ฉากสตันท์ที่ดุเดือด ฉากต่อสู้แบบลองเทคชนิดที่เล่นเอาคนดูแทบหยุดหายใจ กระทั่งฉากไล่ล่าบนรถยนต์ที่ดูสมจริงจนเรานึกว่าไม่ใช่หนัง!
ล่าสุดทางชาร์ลิซ เธอรอน ได้ออกมาเผยกับทางสื่อต่างประเทศว่าตอนนี้ Atomic Blonde 2 กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาโดย Netflix โดยทางสก็อต สตูเบอร์ (หัวหน้าแผนกการผลิตภาพยนตร์และคอนเทนท์ของ Netflix) สนใจโปรเจ็คนี้เป็นอย่างมากและตอนนี้ตัวหนังก็อยู่ในขั้นตอนของการเขียนบท แต่เธอก็ไม่ได้เปิดเผยถึงคาแรกเตอร์ในภาคต่อว่าจะเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนผู้ชมน่าจะให้การตอบรับ Atomic Blonde 2 เป็นอย่างดีเฉกเช่นกับ The Old Guard
ทางด้านเดวิด ลีทช์ เองมีการเปิดเผยเพิ่มเติมว่า “ตอนนี้เราอยู่ในขั้นตอนพัฒนาบท สถานการณ์ล็อคดาวน์ในอเมริกาเปิดโอกาสให้เราได้ทำงานกันกับผู้เขียนบทผ่านโปรแกรม Zoom อย่างขยันขันแข็งเลยทีเดียวครับ”
นอกจาก Atomic Blonde 2 แล้วอีกหนึ่งตัวละครของเธอรอนที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ “ฟูริโอซ่า” จาก Mad Max: Fury Road โดยตัวละครนี้จะกลับมาโลดแล่นบนจอหนังอีกครั้งกับหนังภาคแยกอย่าง Furiosa หนังภาคพรีเควนท์ ที่ผู้กำกับอย่างจอร์จ มิลเลอร์จะกลับมานั่งแท่นหัวเรือใหญ่ของหนังอีกครั้ง ซึ่งบทนี้จะนำแสดงโดยดาราวัยรุ่นอายุน้อยกว่าเธอรอน ซึ่งมีการคาดเดากันว่าบทนี้น่าจะตกเป็นของสาวอันยา เทย์เลอร์ จอย (หรืออาจจะมีการเปลี่ยนแปลงก็ได้ ต้องรอทางค่ายหนังประกาศบทอย่างเป็นทางการอีกครั้ง)
แม้ว่าเธอรอนอาจจะไม่ได้กลับมาแสดงเป็นหลัก (แต่อาจจะมีการแทรกภาพแคนดิดเข้ามาบ้าง) เธอจึงเปิดเผยความรู้สึกของตัวเธอเองที่มีต่อตัวละครฟูริโอซ่าว่า “บทนี้ เป็นบทบาทการแสดงที่หนักมากๆสำหรับเธอเอง ฉันเคารพนับถือจอร์จ มิลเลอร์มากๆเลยค่ะ หลังจากที่ได้ทำงานกับเขาใน Mad Max: Fury Road เขาคือระดับตำนานและระดับปรมาจารย์ ฉันไม่ขออะไรมากมายนอกจากขอให้เขามีแต่สิ่งดีๆ แน่นอนค่ะนิดนึงฉันก็เสียดายที่อาจจะไม่ได้กลับมารับบทนี้แบบเต็มตัว แต่ฉันต้องบอกเลยว่าฉันรักตัวละครนี้เอามากๆแล้วก็ดีใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างตัวละครนี้ขึ้นมาให้มีชีวิตจริง เธอเป็นหนึ่งในตัวละครที่ฉันจะนึกถึงและสะท้อนภาพตัวเองตลอดไป อย่างไรก็ตามฉันดีใจมากๆที่เรื่องราวของเธอได้รับการสานต่อ”
สำหรับ Mad Max: Fury Road ถือเป็นหนังทำเงินมหาศาล กวาดคำวิจารณ์อย่างดงามและยังคว้า 6 รางวัลออสการ์โดยเฉพาะสาขาเทคนิคต่างๆ มาครอบครอง แต่การที่หนังเรื่องนี้จะกลายเป็นหนังที่ “ฮิต” นั้นถือเป็นเซอร์ไพรส์อยู่ไม่น้อย เนื่องจาก Fury Road ทิ้งห่างจาก Mad Max Beyond Thunderdome (1985) ถึง 30 ปี แถมคนดูในยุคปัจจุบันน้อยคนนักที่จะเคยผ่านตากับไตรภาคแรกของหนัง แต่ถึงแม้ว่าจะไม่เคยดู 3 ภาคแรกมาก่อนก็ดูหนังเข้าใจได้ไม่ยากเย็นนัก สำหรับแฟนหนังชัดเดิมก็มีการตีความไปต่างๆนานาว่าตกลงแล้วเส้นเรื่องที่เกิดขึ้นใน Fury Road อยู่ในเส้นไทม์ไลน์ไหนกันแน่ระหว่างเหตุการณ์ใน 3 ภาคแรก หรือแท้ที่จริงแล้วนี่คือการรีเซ็ตเส้นเวลาใหม่ ซึ่งบางที Furiosa อาจจะเป็นส่วนเติมเต็มสิ่งที่คนดูค้างคาใจมาโดยตลอดก็เป็นได้ เอาเป็นว่าก็คงต้องอดใจรอกันอีกสักสองถึงสามปี (หรืออาจจะนานกว่านั้น) จนกว่าอเมริกาจะสามารถกลับมาเปิดกล้อง ออกกองถ่ายทำภาพยนตร์ได้ ตอนนั้นคงจะมีข่าวคราวเพิ่มเติมตามออกมานั่นเอง