รีวิว Eurovision Song Contest: The Story of Fire Saga แค่ฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง

รีวิว Eurovision Song Contest: The Story of Fire Saga แค่ฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง

รีวิว Eurovision Song Contest: The Story of Fire Saga แค่ฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ถ้าคุณกำลังมองหาหนังเปี่ยมอารมณ์ขัน บทเพลงอันไพเราะ เนื้อเรื่องเบาสมองแต่แทรกสอดแนวคิดในการใช้ชีวิต Eurovision Song Contest: The Story of Fire Saga คือหนังตลกเบาสมองที่คุณสามารถเปิดรับชมได้ทาง Netflix แล้ววันนี้

ตัวหนังบอกเล่าเรื่องราวของลาร์ส (วิล เฟอร์เรล) และซิกริต (ราเชล แมคอดัมส์) สองสมาชิกประจำวงดนตรีไฟร์ซากาโดยทั้งสองร่วมเล่นดนตรีกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กน้อยจนปัจจุบันทั้งสองเติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีความฝันว่า สักวันหนึ่งลาร์สจะพาวงของตัวเองให้ขึ้นไปคว้าชัยชนะในการแข่งขัน Eurovision Song Contest ซึ่งเป็นมหกรรมการแข่งขันร้องเพลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคยุโรป

ความฝันเล็กๆของลาร์สที่ดูเหมือนจะไกลลิบลับ เพราะเขาเป็นชาวเมืองในเมืองขนาดเล็กของประเทศไอซ์แลนด์ แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่ลาร์สเติบโตมาท่ามกลางสังคม “บ้านนอก” ที่มีความใกล้ชิดกันของผู้คน ทำให้เขาโดนมองว่าเป็นคนเพ้อฝัน แถมยังชอบทำเรื่องให้อับอายขายขี้หน้าจนผู้เป็นพ่อ(เพียร์ซ บอสแนน) แอบผิดหวังในตัวลูกชาย

จนกระทั่งเมื่อโอกาสมาถึง การแข่งขันในระดับประเทศก็เริ่มต้นขึ้น วงไฟร์ซากาแม้ว่าจะเหมือนจะอนาคตดับตั้งแต่ขึ้นแสดงบนเวที แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่ออุบัติเหตุเรือระเบิดทำให้คู่แข่งทั้งหมดของไฟร์ซากาตายเรียบ จนไอซ์แลนด์เหลือตัวแทนประเทศเพียงวงเดียวนั่นก็คือไฟร์ซากา

แม้จะถูกกดดันและเหยียดหยามจากเหล่าคณะกรรมการว่าไฟร์ซากาน่าจะเป็นความอัปยศครั้งใหญ่ของไอซ์แลนด์ ลาร์สและซิกริตจึงพยายามพัฒนาฝีไม้ลายมือในการพัฒนาการแสดงของตัวเองให้ดียิ่งขึ้นและทำให้สุดความสามารถเท่าที่พวกเขาจะทำได้

สำหรับ Eurovision Song Contest: The Story of Fire Saga เป็นหนังตลกเบาสมองที่หลายๆส่วนอาจจะดูปัญญาอ่อนไปบ้าง แต่ด้วยบริบทโดยรวมความสนุกของเรื่องราวและความบ้าบอคอแตกในการกำกับของเดวิด ด็อบกินก็ถือได้ว่าสามารถเล่าเรื่องราวอันแสนซ้ำซากจำเจว่าด้วยการตะกายฝันของพวกคนขี้แพ้ได้อย่างน่ารักน่าชัง เปี่ยมเสน่ห์ ทั้งนี้ทั้งนั้นคงต้องบอกว่าอาจจะเป็นเพราะเคมีทางการแสดงของวิล เฟอร์เรลกับราเชล แมคอดัมส์ เข้าขากันอย่างน่าอัศจรรย์

นอกจากนี้บทเพลงที่อยู่ในหนังเรื่องนี้ก็จัดได้ว่า หลายบทเพลงออกแบบและแต่งขึ้นมาเพื่อรับใช้เรื่องราวในหนังได้เป็นอย่างดี กระทั่งเพลงตลกติงต๊องอย่าง ยายา ดิ๊งด่อง (Ja Ja Ding Dong) ก็กลายเป็นเพลงที่ติดหูไปเลยหลังจากหนังจบ กระทั่งเพลงเอกที่ไฟร์ซากาขับร้องอาทิ Volcano Man หรือเพลงในตอนไคลแมกซ์อย่าง Husavik (My Home Town) ก็ล้วนแล้วแต่เป็นบทเพลงที่ติดตรึงอยู่ในโสตประสาทคนดูหลังหนังจบได้เป็นอย่างดี

เอาเป็นว่าถ้าใครมองหาหนังตลกที่มีแนวคิดที่ว่าด้วยการทำความฝันให้สำเร็จ ก็อย่าพลาด Eurovision Song Contest: The Story of Fire Saga นะครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook