[รีวิว] Still Human - สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "คน"
สำหรับยุคหลัง 2010 เป็นต้นมาก็เหมือนว่าข่าววงการหนังฮ่องกงจะเงียบซาลงไป จนผิดวิสัยคนที่โตมายุค 90 อย่างผมที่จะต้องได้ดูหนังฮ่องกงกันปีละเป็น 10 เรื่องสลับกับหนังฮอลลีวูดฟอร์มยักษ์ได้เลย แถมยังโดนกระแสจากวงการบันเทิงเกาหลีที่กลายเป็นคลื่นซัดระลอกใหญ่มาตลอดทศวรรษจนชื่อที่คุ้นเคยหายไปจากเรตินาของเราอย่างช่วยไม่ได้
แต่วันนี้เมืองไทยกำลังจะได้ต้อนรับหนังฮ่องกงเล็ก ๆ ที่เลือกเจียมเนื้อเจียมตัวฉายแค่โรงเดียวแต่เชื่อว่าจะทำให้ขนาดของหัวใจผู้ชมพองตัวแน่นอนหนังเรื่องนั้นมีชื่อว่า Still Human ที่ได้ ฟรุต ชาน อดีตผู้กำกับ Made in Hong Kong หนังอินดีสุดฮอตของฮ่องกงมานั่งแท่งโปรดิวเซอร์ให้ด้วย
ณ.แฟลตปลาทองอันคับแคบแห่งหนึ่งในฮ่องกงยังมีชายชราผู้เป็นอัมพาตนาม ชงวิงเหลียง (หวงซิวเซิง) ผู้มีชีวิตอันโดดเดี่ยวและด้วยความจำเป็นในการต้องมีผู้ดูแลทำให้เขาได้เจอกับ อีฟวลีน (คริเซิล คอนซุนจิ) สาวใช้ฟิลิปปินส์ผู้ทิ้งความฝันในการเป็นช่างภาพมารับงานเป็นแม่บ้านและพยาบาลดูแลชงวิงเหลียงเพื่อหาเงินส่งกลับบ้านแทน แต่ยิ่งเวลาผ่านไปและมิตรภาพที่งอกงามมันก็ทำให้มนุษย์ทั้งสองต่างเรียนรู้ซึ่งกันและกันก่อเกิดเป็นความผูกพันธ์ที่พิสูจน์ด้วยหัวใจของทั้งคู่ว่าการเกิดเป็นมนุษย์และมีความฝันนั้นช่วยเติมเต็มชีวิตของพวกเขาได้อย่างไร
ด้วยหน้าหนังและตัวอย่างหนังที่ได้ชมไปก่อนหน้านี้สารภาพตามตรงเลยว่า Still Human ไม่ได้อยู่ในโฟกัสของผมสักเท่าไหร่ ด้วยตัวอย่างหนังที่ตัดออกมาเป็นดราม่าเลี่ยน ๆ อีกทั้งภาพของหนังที่มาทางวีดีโอดิจิทัลแบบโจ่งแจ้งมาก ๆ จนเข้าใจไปเองเลยว่านี่คงเป็นหนังนักศึกษาทำส่งจบอาจารย์แน่ ๆ โดยสิ่งเดียวที่ดึงดูดสายตาเด็กยุค 90 อย่างผมคงหนีไม่พ้น เฮียหวงซิวเซิง หรือ Anthony Wong ผู้เคยรับบทสารวัตรสุดเท่ใน Infernal Affair และหนังฮ่องกงดัง ๆ ที่ดูมาตลอดในวัยเด็กมารับบทคนพิการนี่แหละ
แต่พอได้สาวเท้าเข้าโรงและหนังได้มีโอกาสปรากฎบนจอ ผมแทบอยากเขกหัวตัวเองแรง ๆ สัก 100 ที นี่หรือหนังที่เรากำลังจะปล่อยมันผ่านไปเพราะตลอด 115 นาทีของหนัง ไม่มีซักนาทีที่หัวใจและกรามคนดูจะไม่ทำงาน เพราะเรื่องราวมิตรภาพของทั้ง อีฟวลีน และ ชงวิงเหลียง คือโคตรงดงามและเต็มได้ด้วยอารมณ์ขันทั้งที่หลายฉากมันเอื้อให้หนังฟูมฟายหรือเรียกน้ำตาคนดูมากแต่ ฉานสิวกุน ผู้กำกับสาวหน้าใหม่กลับเอาหนังและคนดูอยู่หมัด มันน่ารัก มันตลก และแน่นอนในที่สุดมันก็ทำคนดูร้องไห้แบบเต็มใจให้น้ำตานองหน้า
และอีกข้อที่อยากเขกหัวตัวเองแรง ๆ คงหนีไม่พ้นสไตล์ภาพที่ดูวีดีโอมาก ๆ ในตัวอย่างที่ต้องบอกว่าพอได้ดูหนังถึงเพิ่งเข้าใจว่าผู้กำกับต้องการถ่ายทอดมันแบบสารคดี ซึ่งยังผลให้หลายฉากดูเรียลมาก ๆ โดยเฉพาะการพาเราไปสู่ลานปิกนิกแม่บ้านฟิลิปปินส์ที่เป็นกล่องกระดาษขนาดใหญ่เอามาทำเป็นเหมือนคูหาให้พวกเธอได้เมาธ์เจ้านายและเป็นที่ระบายทุกข์ให้เพื่อนร่วมชาติฟังไปจนถึงเรื่องราวในแฟลชปลาทองที่ชายพิการกับแม่บ้านฟิลิปปินส์กำลังจะได้เรียนรู้ถึงมิตรภาพและการเยียวยาจิตใจอันบอบช้ำก็ทำให้มันออกมาดูธรรมชาติและทำให้การแสดงเหมือนไม่ใช่การแสดงได้อย่างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว
สำหรับนักแสดงนำตอนแรกอยากจะชื่นชมแค่ เฮียหวงซิงเซิง แต่พอพิจารณาแล้วการแสดงของ คริเซิล คอนซุนจิ ต่างหากที่เป็นหัวใจของเรื่อง เธอเลือกจะใช้การแสดงแบบน้อยแต่มากแสดงออกทางสายตาและเก็บกดในความรู้สึกของเธอในการตอบโต้กับการแสดงแบบเมธอดของหวงซิวเซิงที่มักจะแสดงออกทุกอย่างออกมาอย่างชัดเจน
ที่สำคัญสารของเรื่องที่ว่าด้วยชีวิตไร้อิสระและไร้ความฝันจะไปไม่ถึงคนดูเลยหากเธอไม่สามารถทำให้เชื่อได้ว่าเธอเป็นแค่สาวใช้ฟิลิปปินส์ที่ดูธรรมดาและยอมก้มหัวให้ชีวิตในตอนแรก ก่อนจะได้รับการโอบอุ้มจากจิตใจอันดีงามของชายพิการที่เธอให้คำจำกัดความเขาว่า “The Dream Giver” และในทางกลับกันมันก็ทำให้บุคลิกแบบขวานผ่าซากของ หวงซิวเซิง กลายเป็นน่ารักและเรียกน้ำตาคนดูได้ในช็อตที่เขาเสียน้ำตา
ข้อติติงเดียวของหนังที่เราพร้อมจะเถียงแทนคงหนีไม่พ้นข้อครหาว่ามันนำเสนอเรื่องราวในแง่ดี โลกสวยเกินเหตุ แต่หากเราพิจารณาความเป็นจริงของสภาพฮ่องกงอันตึงเครียดในปัจจุบันแล้วจะเข้าใจเลยว่าการมีหนังแบบนี้ฉายให้คนในประเทศที่กำลังตึงเครียดจากการประท้วงและสภาพเศรษฐกิจที่กำลังถดถอยรวมถึงอนาคตที่ดูมืดมนเร็วเกินเหตุจากมาตรการล่าสุดของจีนแล้วก็คงต้องยกประโยชน์ให้จำเลยไปล่ะนะ