รีวิว Present Still Perfect (แค่นี้ก็ดีแล้ว 2) หนังชายสองคนที่ (ยังคง) ตกหลุมรักกัน

รีวิว Present Still Perfect (แค่นี้ก็ดีแล้ว 2) หนังชายสองคนที่ (ยังคง) ตกหลุมรักกัน

รีวิว Present Still Perfect (แค่นี้ก็ดีแล้ว 2) หนังชายสองคนที่ (ยังคง) ตกหลุมรักกัน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ย้อนกลับไปในปี 2015 Present Perfect (แค่นี้ก็ดีแล้ว) ถือเป็นหนัง LGBT เรื่องหนึ่งในปีนั้นที่จัดได้ว่า เป็นหนังนอกกระแสที่สามารถสร้างความสนใจให้กับคอหนังบ้านเราพอสมควร เพราะนอกจากจะยกระดับ “หนังเกย์ เอสพลานาด” (ชื่อเรียกกลุ่มหนังเกย์ที่สร้างโดยสตูดิโอเล็กๆและฉายในวงจำกัด ซึ่งมักจะเลือกโรงภาพยนตร์เอสพลานาดรัชดาเป็นโรงฉายหลัก) ให้เข้าถึงกลุ่มคนดูในวงกว้างขึ้น หนังเรื่องนี้ยังสามารถไปสร้างชื่อเสียงในเทศกาลหนังต่างๆทั่วโลกอีกด้วย

เหตุการณ์ใน Present Still Perfect ยังคงเล่าเรื่องราวของเต้ย (ไอซ์-อดิศร โทณะวณิก) และพี่โอ้ต (โจ๊ก-กฤษณะ มฤคสนธิ) กับช่วงเวลา 4 ปีให้หลัง ที่เต้ยยังคงช้ำรักและไม่อาจจะเริ่มต้นใหม่ เพราะหัวใจทั้งดวงเขายังคงรักรอพี่โอ้ตที่ตอนนี้แต่งงานมีครอบครัวและมีลูกไปแล้ว

ความกลัวจับขั้วหัวใจแต่ก็คิดถึงแทบใจสลาย เต้ยอยากจะส่งข้อความไปหาพี่โอ้ตหลายครั้งหลายหน แต่เขาก็ยังต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเองและถกเถียงกับสิ่งผิดชอบชั่วดี ว่าตัวเองจะกลายเป็นมือที่ 3 ที่ทำให้ครอบครัวของพี่โอ้ตล่มสลายแตกแยก และกลัวว่าลูกของเขาจะมองพ่อเปลี่ยนไป ถ้าหากเต้ยจะกลับไปรุกคืบความสัมพันธ์อีกครั้ง

ระหว่างที่หนีมาพักใจที่รีสอร์ทที่เกาะกูด เต้ยบังเอิญพลั้งมือกดสั่งข้อความไปหาพี่โอ้ตแบบไม่ได้ตั้งใจ เมื่อโลเคชั่นของเต้ยถูกเปิดเผยเช้าวันรุ่งขึ้นพี่โอ้ตก็มาหาเขาถึงรีสอร์ท และแม้ว่าตอนแรกเหมือนเต้ยจะพยายามไล่พี่โอ้ตกลับ แต่ท้ายที่สุดแล้วทั้งสองก็โหยหาและคิดถึงกันมากกว่าที่คิด ส่งผลให้ทั้งคู่เลือกจะใช้เวลาสั้นๆเพื่อทบทวนช่วงเวลาดีๆที่พวกเขาเคยมอบให้กันอีกครั้ง

แน่นอนว่า Present Still Perfect ยังคงพยายามสำรวจความสัมพันธ์ของสองตัวละครในโจทย์ที่ยากกว่าเดิม “เราสามารถรักคนที่มีเจ้าของแล้วได้หรือไม่” และ “เราจะยอมทิ้งความสัมพันธ์ตามธรรมเนียมประเพณีเพื่อคำว่ารักแท้ได้จริงหรือ” ซึ่งระหว่างที่หนังโยนคำถามใส่คนดู หนังก็ยังคงมอบห้วงอารมณ์แห่งความสุข ความทุกข์ของตัวละครให้กับผู้ชมได้ตามมาตรฐานภาคแรก แม้อาจจะดรอปลงในเรื่องของความสดใหม่ ประกอบกับเรายังคงรู้สึกว่าเต้ยเองก็ยังดูเป็น “เด็กที่ยังไม่โต” ไปตามบริบทของเรื่องนัก อีกทั้งบทสรุปของเรื่องที่หนังพยายามวาดวิมานความฝัน ให้กลายเป็นนิยายรักเล่มละ 10 บาทในยุค 20 ปีก่อนก็แอบลดทอนความขลังของประเด็นในหนังภาคแรกไปอยู่ไม่น้อย

แต่ถ้าจะมองในแง่ว่าถ้าหากตัวผู้กำกับอาม อนุสรณ์ สร้อยสงิม ต้องการจะเฉลิมฉลองและมอบความหวังให้กับคู่รัก LGBT ในไทยแล้ว นี่อาจจะเป็นทางออกและบทสรุปของหนังเรื่องนี้ที่อาจจะลงตัวที่สุดแล้วก็เป็นได้

สามารถรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ตามรายละเอียดที่หน้าเพจ: https://www.facebook.com/PresentPerfectFilms/

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook