โทมัส เชลบี้ : จิ๊กโกยิปซีที่กลายเป็นผู้มีอิทธิพล และรับทำงานสกปรกให้รัฐบาลอังกฤษ

โทมัส เชลบี้ : จิ๊กโกยิปซีที่กลายเป็นผู้มีอิทธิพล และรับทำงานสกปรกให้รัฐบาลอังกฤษ

โทมัส เชลบี้ : จิ๊กโกยิปซีที่กลายเป็นผู้มีอิทธิพล และรับทำงานสกปรกให้รัฐบาลอังกฤษ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

PEAKY BLINDERS คือซีรีส์ย้อนยุคสัญชาติอังกฤษที่สร้างอิทธิพลอย่างสูงในช่วงที่ออกอากาศ ปฎิเสธไม่ได้ว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้แฟนซีรีส์ติดหนึบคือคาแรกเตอร์ของตระกูลเชลบี้ โดยเฉพาะพระเอกของเรื่องอย่าง โทมัส เชลบี้ ชายผู้ทำให้หมวกทรงบริติชกลับมาขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเพราะความเท่ที่แม้แต่ผู้ชายยังต้องยอมรับในเสน่ห์อันเหลือล้นนี้ 

และวันนี้เราจะมาวิเคราะห์ตัวละคร โทมัส เชลบี้ กับเหตุผลที่เขาเปลี่ยนตัวเองจากจิ๊กโก๋บ้านนอกแห่งเมืองเบอร์มิงแฮมที่โดนดูถูกว่าเป็นพวกยิปซีหลงยุค แต่กลับไต่บันไดโลกมืดของอังกฤษจนมีอิทธิพลระดับที่ วินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีของประเทศยังต้องเปิดทางให้

เขาทำเช่นนั้นได้อย่างไรในช่วงเวลาแค่ไม่กี่ปี... ร่วมสืบหาเคล็ดลับระดับ เชลบี้ บราเธอร์ส พร้อมกับ Mainstand ได้ที่นี่ 

*หมายเหตุ* มีการสปอยล์เนื้อหาบางส่วนของซีรีส์ Peaky Blinders 

อย่างแรกที่ต้องเข้าใจ "เชลบี้" ไม่มีจริง

เปิดหัวมาอาจจะดูใจร้ายไปหน่อยแต่มันคือเรื่องจริงที่ว่า เชลบี้ บราเธอร์ส สุดเท่นั้นไม่มีอยู่จริง เรื่องราวอ้างอิงได้จากหนังสื่อเรื่อง The Gangs of Birmingham ผลงานการเขียนของ ฟิลิปป์ กูเดอร์สัน ที่บอกเล่าสะท้อนสังคมประเทศอังกฤษหลังจากเข้าสู่ยุค 1900 หรือเรียกง่ายๆว่าเป็นช่วงที่สงครามโลกครั้งที่ 1 เพิ่งจบลงไปเท่านั้นเอง 


Photo : www.thebrotique.co.uk

อย่างไรก็ตามแม้ เชลบี้ บราเธอร์ส นั้นจะไม่มีตัวตนจริงๆ แต่แก๊ง Peaky Blinders นั้นมีอยู่จริง แต่ความยิ่งใหญ่นั้นห่างกันลิบลับเพราะ Peaky Blinders ในโลกแห่งความจริงเป็นเพียงแก๊งของเด็กวัยรุ่นที่อายุราวๆ 14-16 วีรกรรมของพวกเขาถือว่าเป็นเรื่องอาชญากรรมเล็กๆน้อยๆ เช่นลักขโมย เล่นพนัน และทะเลาะวิวาทเท่านั้น 

แต่เมื่อผู้ผลิตซีรีส์ตั้งใจจะนำเรื่องราวของมาเฟียมาผูกกับสถานการณ์หลังสงครามโลกที่อังกฤษประสบปัญหาเรื่องเศรษฐกิจแล้ว มันจึงจำเป็นที่กลุ่มพระเอกของเรื่องจะมีสตอรี่ที่ยิ่งใหญ่กว่า แต่ก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงอยู่บ้างเพียงเพราะหนังต้องการจะสื่อให้เห็นว่าในยุคปฎิวัติอุตสาหกรรมที่คนอังกฤษตกงาน อาหารขาดแคลน และความย่ำแย่ของเมืองต่าง ๆ ที่ไม่ใช่เมืองใหญ่ได้บีบให้เกิดการสู้และดิ้นรนเพื่ออยู่รอดขึ้นมา ดังนั้น Peaky Blinders ในซีรีส์ จึงถูกปรับแต่งให้เป็นแก๊งที่มีอายุขึ้นมาอีกหน่อย และเป้าหมายของพวกเขาคือหลีกหนีความจนเหมือนกับคนอื่น ๆ ในยุคนั้น เพียงแต่ว่าแนวคิดของหัวหน้าแก๊งอย่าง โทมัส เชลบี้ ต่างหากที่พาครอบครัวหรือกลุ่มเชลบี้ บราเธอร์ส ก้าวสู่โลกที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่พวกเขาจะคิดไว้ 

จุดเริ่มต้นของตัวละครนี้เกิดจากสตีเวน ไนต์ ผู้สร้างซีรีส์ ได้เจอกับแก๊งมาเฟียกลุ่มหนึ่ง ที่พกปืนนั่งอยู่ในบาร์แห่งในหนึ่งในเมืองเบอร์มิงแฮม และกลุ่มมาเฟียกลุ่มนั้นถือแก้วเหล้า สูบบุหรี่ และแต่งตัวเท่เกินนักเลงทั่วไป ซึ่งนั่นคือภาพสะท้อนของจิ๊กโก๋เบอร์มิงแฮมเมื่อครั้งอดีต และจุดนั้นเอง โทมัส เชลบี้ ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นบนแผ่นฟิล์ม และกลายเป็นตัวละครที่เท่ที่ใน พ.ศ. นี้ 

 

คนที่ไม่กลัวตาย...อันตรายที่สุด

ว่ากันว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม สังคมโหดร้ายแค่ไหนภาพสะท้อนก็จะถูกสะท้อนผู้คนในสังคมนั้น โทมัส เชลบี้ เองก็เป็นตัวอย่างของคำกล่าวนี้ได้เป็นอย่างดี เขาเริ่มจากการเติบโตในครอบครัวที่ครบสมบูรณ์ แม้ยากจนแต่ก็มีความรักและผูกพันในหมู่พี่น้องและญาติสนิทเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามวันหนึ่งพ่อของเขาที่เป็นหัวหน้าครอบครัวเต็มระบบเกิดทิ้งครอบครัวไปดื้อ ๆ ความลำบากของแม่เลี้ยงเดี่ยวและลูก ๆ อีก 5 คน (อาเธอร์,โทมัส, จอห์น, เอด้า และ ฟินน์) ก็เริ่มขึ้น 


Photo : www.independent.co.uk

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลของความเครียดหรืออะไรก็ตามหลังจากนั้นไม่นานแม่ของเด็ก ๆ ตระกูลเชลบี้ ตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการเดินลงไปแม่น้ำเบอร์มิงแฮม และปล่อยให้เด็ก ๆ ต้องเผชิญโลกเพียงลำพัง และนั่นทำให้พวกเขาต้องกลายเป็นเด็กที่แข็งกร้าวเพื่อปกป้องพี่น้องให้อยู่รอดบนความยากลำบากให้ได้ 

จุดเปลี่ยนจริงๆที่ทำให้ โทมัส เชลบี้ เติบโตกลายมาเป็นยอดมาเฟียคือตอนที่เขาเข้ารับเกณฑ์ทหารในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดย 3 พี่น้องตระกูลเชลบี้อย่าง อาเธอร์, โทมัส และ จอห์น ถูกส่งไปรบที่ฝรั่งเศส และต้องได้พบกับเหตุการณ์เลวร้ายในสงครามนั่นคือการที่หน่วยของเขาถูกทิ้งไว้ในอุโมงค์ ขณะที่กองทัพอังกฤษถอนทัพไปแล้ว 

ณ เวลานั้นแม้ โทมัส จะมีอาวุโสเป็นรอง อาเธอร์ แต่เขาก็มีความเป็นผู้นำสูงจนได้กลายเป็นผู้นำของหน่วยดังกล่าวที่ไม่มีลูกระสุนปืนแม้แต่ลูกเดียว สุดท้ายการนำของ โทมัส ก็ทำให้หน่วยของเขารอดตายและกลับอังกฤษพร้อมกับรับเหรียญกล้าหาญ แต่อีกด้านคือสภาพจิตใจที่เคยช็อคถึงขีดสุดได้เปลี่ยนตัวเขาไปแล้ว ระหว่างที่ความกลัวเกิดขึ้นสุดขีดในอุโมงค์โทมัสสาบานกลับตัวเองว่าถ้าเขารอดจากเหตุการณ์นี้ไปได้ เขาจะไม่กลัวตายและใช้ชีวิตให้สุดเหวี่ยง ถ้าตายก็แล้วไป แต่สิ่งใด ๆ ที่เกิดหลังจากนี้ไม่ว่าจะดีหรือร้ายเขาจะคิดว่ามันคือกำไร และพร้อมจะท้าชนกับทุกสิ่ง  

เมื่อปลดจากกองทัพ โทมัส เชลบี้ ที่ได้รับการยอมรับให้เป็นหัวหน้าครอบครัวก็กลายเป็นคนที่เเข็งกร้าว รักศักดิ์ศรี ไม่เคยกลัวใคร พร้อมจะทำให้ครอบครัวของเขายิ่งใหญ่โดยเริ่มจากการครอบครองเมืองเบอร์มิงแฮมบ้านเกิดของเขาก่อน แม้สุดท้ายพวกเขาจะเป็นทุกอย่างในเมืองเบอร์มิงแฮมได้แล้ว แต่ความไม่กลัวตายและกระหายความสำเร็จถึงขีดสุดทำให้เขากล้างัดกับกรมตำรวจของอังกฤษจนถึงขั้นขโมยปืนกลเพื่อเอามาต่อรองผลประโยชน์ต่างๆให้ตระกูลของตัวเอง นอกจากนี้เขายังเริ่มยึดครองสนามแข่งม้าที่มีเงินหมุนเวียนจากการพนันด้วยการงัดกับเจ้าของเดิมที่เป็นมาเฟียเก่าและรุ่นใหญ่กว่าเขาเยอะ มีประโยคหนึ่งที่อธิบายถึงความกล้าท้าทายกับทุกๆคนของเขาได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นตอนที่เขาโดนขู่ว่าจะจับตายหากไม่คืนปืนกลของรัฐบาล… ก่อนเขาจะตอบกลับอย่างไม่กลัวว่า

“เราจะไม่ต่อรองตอนที่เราเสียเปรียบ เราต้องตอบโต้ก่อน”    


Photo : www.buzzfeed.com

ทั้งหมดนี้คือพฤติกรรมที่สุดเหวี่ยงในแบบที่หาตัวจับยาก ไม่มีใครจะกล้างัดกับกองทัพ ส่งจดหมายไปคุยกับนายกรัฐมนตรีวินสตันเชอร์ชิลเพื่อต่อรองการทำผิดกฎหมาย หรือแม้แต่กระทั่ง การเอาหัวขึ้นเขียงงัดกับมาเฟียจากเมืองใหญ่อย่างลอนดอน ... 

ทุกอย่างที่ โทมัส ทำนั้นบ้าคลั่งสุดขีด เพราะว่าเขาเคยผ่านจุดที่เรียกว่า "ความกลัวสุดขีด" ไปแล้ว จากนี้ไปเขาไม่เหลืออะไรต้องกลัว และนั่นทำให้กลุ่มมาเฟีย กระทรวงกลาโหม และ รัฐบาลอังกฤษเริ่มรู้จักชื่อ โทมัส เชลบี้ และตระกูลนักเลงจากเบอร์มิงแฮมตระกูลนี้ ที่พร้อมจะทำทุกสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดได้ตลอดเวลานั่นเอง

 

อยากจะบ้า ต้องบ้าอย่างมีสมอง 

เเม้ โทมัส จะบอกเสมอว่าเขาไม่กลัวตายและพร้อมวิ่งชนทุกปัญหา แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขารอดตายและสร้างชื่อเสียงได้เพิ่มขึ้นในแต่ละตอนไม่อาจมีใครปฎิเสธได้ว่ามันคือหัวสมอง และแนวคิดของเขาที่นำหน้าคนอื่นๆไปหลายก้าว ว่าง่าย ๆ หากเป็นการเล่นหมากรุกหัวสมองและการวางแผนของ โทมัส เชลบี้ สามารถใช้เบี้ยเดินไปกินขุนได้โดยไม่มีใครทันรู้ตัวเลยทีเดียว


Photo : besttvshows.co

ในเรื่องเขาไม่ได้เป็นคนพูดเยอะ หรือพูดเก่ง แต่ทุกครั้งที่ โทมัส เชลบี้ พูดทุกคนจะฟัง นั่นก็เพราะว่าเขาจะกลั่นกรองมันมาอย่างดี ความฉลาดและความทะเยอทะยานผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะทำให้เขารู้ว่าคู่เจรจาของเขา "ต้องการอะไร" ดังนั้นทุกการต่อรอง โทมัส สามารถเลือกวิธีที่ทำให้พวกเขาได้ประโยชน์มากที่สุดกลับมาได้เสมอ แม้จะเป็นการต่อรองที่เป็นไปไม่ได้ที่จะได้ประโยชน์เขาก็ยังสามารถเสียประโยชน์ได้น้อยที่สุด ยกตัวอย่างเช่นใน ซีซั่นที่ 2 ที่เขาต้องการเข้าไปมีส่วนแบ่งในธุรกิจผิดกฎหมายในเมืองหลวงอย่างลอนดอน โทมัส ก็ค่อย ๆ เอาผลประโยชน์มาล่อ แอลฟี่ โซโลมอนส์ มาเฟียชาวยิวที่ขายเหล้าเถื่อน จนสุดท้ายแล้วการยกผลประโยชน์ก้อนแรกกลายเป็นการเปิดประตูสู่การครอบครองลอนดอนของตระกูลเชลบี้ในภายหลัง    

ในเรื่องแทบทุกตอนนั้น ซีรีส์มักจะพยายามแสดงให้เห็นถึงลูกล่อลูกชนของ โทมัส เชลบี้ อยู่ตลอด เขาไม่ใช่ตัวละครที่เก่งเว่อร์วิวาทกับใครก็ชนะหรือเป็นเทพแห่งการต่อสู้อะไรอย่างนั้น หลายครั้งเขาเลือกจะแพ้ก่อน หลายครั้งเขาเลือกจะถอยก่อน 1 ก้าว เพื่อรอจังหวะดี ๆ กระโจนขึ้นหน้ามาพรวดเดียว 5-6 ก้าว และแน่นอนว่าต่อให้จะใช้วิธีโกงเขาก็ไม่สนอยู่ดี เพราะเขากระหายความสำเร็จเกินกว่าจะสนใจสิ่งเล็กๆน้อยๆพวกนี้ไป 


Photo : www.menswearstyle.co.uk

เมื่อเขามีทั้งความไม่กลัวตายและความฉลาดพร้อมกันมันทำให้ โทมัส เกิดนิสัยอย่างหนึ่งขึ้นมานั่นคือเขาหยิ่งทะนงจนไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นผู้แพ้ ไม่ว่าจะเดิมพันอะไรอยู่ก็ตาม ซึ่งนั่นเองทำให้เขากลายเป็นที่หมายหัวของผู้เป็นใหญ่เป็นโตในประเทศ และในทางกลับกันกลุ่มอาชญากรข้ามชาติก็ชื่นชอบที่จะติดต่อทำธุรกิจผิดกฎหมายกับเขาเป็นอันดับแรกหากอยากเข้ามาในอังกฤษ ด้วยเหตุผลที่ว่า โทมัส เชลบี้ ฉลาดเกินกว่ากลุ่มมาเฟียอื่น ๆ จนสามารถการันตีได้ว่าความสำเร็จจะต้องเกิดขึ้นแน่หากจับมือกับ เชลบี้ บราเธอร์ส ... ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วสุดท้าย โทมัส เชลบี้ มักจะได้ในสิ่งที่เขาต้องได้เสมอ 

 

เลี้ยงเสือให้อิ่ม อย่าทิ้งคนรอบข้าง 

จุดขายของเรื่อง Peaky Blinders อีกอย่างนอกจากความเท่และการหักเหลี่ยมเฉือนคมของกลุ่มมาเฟียแล้วก็คงหนีไม่พ้นดราม่าครอบครัว ตระกูลเชลบี้ในนามของบริษัท เชลบี้ บราเธอร์ส คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นความจริงของธุรกิจแบบกงสี  แม้ในวันที่เริ่มต้นทุกคนจะรักใคร่กลมเกลียวกันดี แต่เมื่อเวลาผ่านไปมีส่วนแบ่งและผลประโยชน์มากขึ้นมาแล้วล่ะก็ สิ่งที่จะตามมาคือแม้แต่คนในครอบครัวก็ยังสามารถแตกคอ หักหลังกันได้ง่ายๆ 


Photo : www.nme.com

ดังนั้นในส่วนของดราม่าครอบครัวจึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ โทมัส เชลบี้ ได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มรูปแบบ เพราะไม่ว่าจะในซีซั่นไหนเขาจะมีปัญหาในครอบครัวมาให้แก้โดยตลอด อาทิ เรื่องโดนยัดข้อหาของ พี่ชายและน้องชายอย่าง อาเธอร์ และ จอห์น ที่ทำให้ โทมัส ต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบในการต่อรองจนบางครั้งเขาต้องยอมใช้ตัวเขาแลกเพื่อนำครอบครัวเดียวที่เหลืออยู่ของเขาออกจากความยากลำบากให้ได้   

อย่างไรก็ตามหลายครั้งการเป็นคนไม่เคยกลัวแพ้และกลัวตายของเขาก็ทำในสิ่งที่ผิดพลาดและสร้างความอันตรายมาถึงสิ่งที่เขารักที่สุดเอง เช่น การเอาครอบครัวเป็นเหยื่อล่อให้แก๊งมาเฟียอิตาลีที่ต้องการล้างแค้นตระกูลเชลบี้ เข้ามาติดกับ หรือการเดินหมากพลาดจนปล่อยให้สมาชิกในครอบครัวทั้งหมดต้องถูกขึ้นแดนประหารและคอกำลังอยู่บนเชือกชนิดที่ว่าเป็นตายเท่ากัน  ซึ่งฉากเหล่านี้เป็นการแสดงให้เราเห็นว่าความมั่นใจที่สุดโต่ง และความทะเยอะทะยานที่ไม่รู้จักพอนั้นเป็นเหมือนดาบ 2 คม  คมหนึ่งหากทำสำเร็จแล้วรางวัลก็ยิ่งใหญ่คูณสองคูณสาม แต่ถ้าพลาดขึ้นมาเมื่อไหร่สิ่งที่จะเสียเดิมพันก็คือสิ่งที่มีค่าที่สุด ซึ่งสำหรับ โทมัส ก็คือครอบครัวนั่นเอง 

ย้อนกลับไปในช่วงซีซั่นที่ 4 การที่ โทมัส เชลบี้ สั่งฆ่ามาเฟียอิตาลี จนต้องเกิดการตามล้างแค้นแบบฆ่าล้างโคตร ซึ่งเดิมพันนั้นทำให้ โทมัส เสีย จอห์น น้องชายของเขาไปจากการโดนฆาตกรรมโดยนักฆ่ารับจ้าง เหตุการณ์นั้นทำให้ทุกคนในตระกูลเชลบี้ รู้สึกผิดหวังในการกระทำของโทมัส อย่างแรง จนครอบครัวแทบจะแตกสลายปิดตำนาน เชลบี้ บราเธอร์ส เลยทีเดียว 

สุดท้าย โทมัส ก็คือ โทมัส เขาคือปุถุชนคนทั่วไปเขามีการตัดสินใจที่พลาดอยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อเขารู้ตัวว่าสิ่งที่ตัวเองทำทำให้คนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นชาวเมืองเบอร์มิงแฮม และ ครอบครัวของเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เขาก็พร้อมจะเปลี่ยนแผนและยอมแลกทุกสิ่งที่มี เพียงแต่ว่าการยอมแพ้ของเขาเป็นการยอมแพ้แบบ โทมัส เชลบี้ ที่ถึงแม้ปากและการกระทำต่อหน้าจะบอกว่ายอม แต่สุดท้ายเขามักจะซ่อนแผนที่ผ่านการคิดมาอย่างรอบคอบในสถานการณ์ที่กดดันที่สุด ซึ่งสุดท้ายมันมักจะทำให้เขาได้ผลประโยชน์แบบทบต้นทบดอก และทำให้ครอบครัว เชลบี้ ยังคงอยู่ในนาม เชลบี้ บราเธอร์ ต่อไป 


Photo : www.bbc.co.uk

นิสัยการรักครอบครัวและถิ่นฐานของ โทมัส เชลบี้ ทำให้เขากลายเป็นที่ยอมรับของผู้คนทั้งเมือง มีฉากหนึ่งในบาร์ก่อนเกิดศึกนองเลือดระหว่างสองแก๊งนั้น พนักงานบาร์คนหนึ่ง(เป็นเจ้าของร้านเก่าที่โดน เชลบี้ ซื้อกิจการมาอีกที) บอกว่าถึงแม้ตระกูลเชลบี้ จะเป็นมาเฟียในสายตาชาวเมืองแต่ทุกสิ่งที่พวกเขาทำและการดูแลผู้คนในเมืองนี้เป็นอย่างดีทำให้ตระกูลเชลบี้เป็นเหมือน "ไอ้เลวของพวกเรา" และไม่ว่าจะศึกใด ๆ ก็ตามที่แก๊งเชลบี้ก่อขึ้น ชาวเบอร์มิงแฮม ก็มักจะภาวนาให้เป็นฝ่ายชนะ แม้ว่าจะรู้ทั้งรู้ว่าตระกูลนี้ไม่ใช่คนดี 100% ก็ตาม

การมีคนรอบข้างที่ไว้ใจได้และคอยเป็นกำลังใจทำให้ โทมัส เชลบี้ เอาชนะศึกหลาย ๆ ครั้งที่พวกเขาเป็นรอง เขารู้จักวิธีเลี้ยงคนรอบข้างให้อิ่ม ให้ผลประโยชน์กับคนที่ควรได้ และด้วยนโยบายของตระกูลเชลบี้นี้เอง ทำให้เขากลายเป็นผู้มีอิทธิพลระดับประเทศ เพราะเขาสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับรัฐบาลอังกฤษได้ โดยใช้กลยุทธ์โจรปราบโจร หรือรับทำงานสกปรกในแบบที่คนมีสีทำไม่ได้  

อาทิ การรับงานจาก วินสตัน เชอร์ชิล ที่สั่งตรงให้ โทมัส เชลบี้ รับหน้าที่ฆ่าสายลับที่ถูกส่งมาเพื่อปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ (จอมพล เฮนรี รัสเซล) แม้ว่าปลายทางจะมีการวางแผนเพื่อฆ่าปิดปาก โทมัส เชลบี้ แต่สุดท้ายความเฉลียวฉลาด และการต่อรองที่ยอดเยี่ยมทำให้ เชลบี้ ถูกมองว่ายังมีประโยชน์กับรัฐบาลอังกฤษ และถูกยกเลิกการฆ่าปิดปาก เพื่อใช้งานเขาทำงานสกปรกชิ้นต่อ ๆ ไปที่ไม่มีทางสืบมาถึงรัฐบาลได้  

ซึ่งเชลบี้ ก็พร้อมรับข้อเสนอและได้ผลประโยชน์มามากมาย เช่น ใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจที่ถูกกฎหมาย (ใช้บังหน้าธุรกิจมืด) และตัวของ เชลบี้ ก็กลายเป็นคนโปรดที่สามารถติดต่อกับรัฐบาลได้โดยตรง บางครั้งยังสามารถติดต่อกับสำนักพระราชวังได้อีกด้วย (หมายเหตุ : ย้ำเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องจริง) 


Photo : www.forbes.com

ดังนั้นการจะฆ่า โทมัส เชลบี้ นั้นจึงเป็นไปได้ยากไม่ว่าจะในที่ไหน ๆ ก็ตามเพราะคนรอบข้างพร้อมจะปกป้องเขาด้วยชีวิต...ไม่ว่าจะมีเหตุผลมาจากผลประโยชน์หรือความจงรักภักดีก็ตาม 

ทั้งหมดคือส่วนประกอบที่ทำให้จิ๊กโก๋ยิปซีพัฒนาตัวเองกลายเป็นบุคคลที่สามารถต่อรองกับรัฐบาลอังกฤษ ได้รับเครื่องราชฯชั้น OBE ได้เป็นสมาชิกสมาผู้แทนราษฐร และกลายเป็นขวัญใจของคนรากหญ้า ต้นแบบของการก้าวขึ้นไปยิ่งใหญ่ ไม่เกิดมาในตระกูลที่ไร้แต้มต่อ 

ความฉลาด, ความมุทะลุมุ่งมั่น, การวางแผน, การต่อรองอย่างรอบคอบ และการเลือกเดิมพันให้ถูกเวลา คือคุณสมบัติที่ว่าทำไม โทมัส เชลบี้ จึงกลายเป็นตัวละครที่ถูกพูดถึงในเรื่องของความเท่ที่สุดเท่าที่ใครคนหนึ่งจะนึกออกนั่นเอง 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook