Antebellum สยองย้อนอดีต! รับประเด็นคนผิวสี

Antebellum สยองย้อนอดีต! รับประเด็นคนผิวสี

Antebellum สยองย้อนอดีต! รับประเด็นคนผิวสี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หนังระทึกขวัญ สยองขวัญอย่าง Get Out และ Us ได้ปลุกกระแสหนังที่แทรกประเด็นเรื่องคนผิวสีเอาไว้เต็มทั่วทุกอณูบริบทของเรื่องราว ครั้งนี้ Antebellum คือปรากฏการณ์ครั้งใหม่ที่ว่าด้วยเรื่องราวของการเหยียดสีผิวในอดีตที่สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่สู่ยุคปัจจุบัน

 

เรื่องสยองของเวโรนิก้า

เวโรนิก้า เฮนลีย์ (รับบทโดยนักแสดงและศิลปินรางวัลแกรมมี่ จาแนลล์ โมเน่) นักเขียนและนักเคลื่อนไหวสิทธิคนสีผิวที่ประสบความสำเร็จทั้งเรื่องงานและครอบครัว แต่ชีวิตของเธอกลับตาลปัตร เมื่อเธอต้องรับหน้าที่เป็น “ความหวัง” ของชุมชนทาสที่เสมือนตกนรกอยู่ในนิคมของทหารยุคสงครามกลางเมือง ช่วงเวลาที่สลับกลับไปมาได้สร้างความงุนงงให้กับชีวิตเธอเองว่าตกลงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

ภาพสะท้อนของเรื่องราวการเหยียดสีผิวในยุคปัจจุบัน

Antebellum ตั้งใจสร้างมาเพื่อทำให้ผู้ชมช็อคและปั่นประสาทด้วยปริศนา ซึ่งมันเหมือนภาพสะท้อนของปัญหาเหยียดผิวในปัจจุบัน และสำหรับเจอร์ราร์ด บุช และ คริสโตเฟอร์ เรนซ์ สองนักทำหนังและนักเคลื่อนไหวทางสังคมที่เคยนั่งแท่นโปรดิวเซอร์ให้กับสองสุดยอดภาพยนตร์เขย่าขวัญแห่งยุคอย่าง Get Out และ Us

แรกเริ่มเดิมที Antebellum ไม่ได้คาดคิดว่ากระแสเรื่องการเหยียดผิวสีในอเมริกาจะกลับมาทวีความรุนแรงแบบทุกวันนี้ เพราะความจริงหนังต้องการแค่อยากชวนให้ผู้ชมหวนกลับไปนึกถึงความน่าหดหู่ในโลกแห่งความจริง เล่าความน่ากลัวของการเหยียดผิวผ่านหนังสยองขวัญ กลายเป็นว่าตอนนี้โลกมันเหมือนกับประเด็นที่เราต้องการสื่อในหนังเลย

ศูนย์กลางของ Antebellum คือเวโรนิก้า (จาแนลล์ โมเน่) เจ้าของปริญญาเอกสาขาสังคมวิทยาและนักเขียนระดับ ท็อปเซลเลอร์ ผลงานของเธอตีแผ่เรื่องการที่คนผิวดำถูกกดขี่ในอเมริกา ซึ่งมันฝังรากลึกลงไปในประเทศนี้ เธอเป็นภรรยาผู้ทุ่มเทให้กับ นิค และ เคนเนดี้ สามีและลูกสาว เธอต้องจากทั้งคู่มาเพื่อไปบรรยายพิเศษที่นิวออร์ลีนส์ เธอบรรยายเรื่องที่คนผิวดำเคยถูกมองข้าม ไม่มีสิทธิ์มีเสียงในสังคม แต่ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไป นี่เป็นเวลาของพวกเขา

ที่เวโรนิก้ายังไม่รู้คือเธอถูกโชคชะตาเลือกให้เป็นผู้กอบกู้เราทั้งหมดจากอดีตของเราเอง และเพื่อเปิดโปงความลับน่าขุนลุกที่เชื่อมโยงเธอเข้ากับนางทาสผิวดำสมัยสงครามกลางเมืองชื่อ เอเดน (รับบทโดยโมเน่เช่นกัน) เธอเป็นทาสที่ต้องทำงานในไร่ฝ้ายท่ามกลางอากาศร้อนจัด แถมต้องเจอกับนายจ้างที่ทำเหมือนทาสผิวดำไม่ใช่มนุษย์ แม้จะจะต่างห้วงมิติเวลา แต่เอเดนและเวโรนิก้ากำลังเจอเหตุการณ์ที่จะเปลี่ยนชีวิตพวกเธอไปตลอดกาล

 

จาเนลล์ โมเน่กับบทบาทตัวเดินเรื่อง

จาเนลล์ โมเน่ นักแสดงและนักร้องที่เคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ถึงแปดครั้งถูกเลือกมารับบทเป็นเวโรนิก้า การที่เธอตัดสินใจมาร่วมงานกับผู้กำกับใหม่ถอดด้ามในเรื่องนี้เพราะว่าตัวเธอเองก็เป็นนักเคลื่อนไหวเหมือนบุชและเรนซ์

สำหรับบทภาพยนตร์นั้น หลังจากที่ได้อ่านแล้วเธอพบว่าหนังเต็มไปด้วยเรื่องราวของชาติพันธุ์ การเมือง ค่านิยมของคนอเมริกันที่แทรกอยู่ในโทนหนังเขย่าขวัญ เธอมองว่าการทีคนผิวสีไม่อาจจะมีปากเสียงในสังคมก็คือความน่ากลัวอย่างหนึ่ง และหนังเรื่องนี้ได้นำเสนอออกมาในมุมมองหนังเขย่าขวัญเชิงจิตวิทยา

เวโรนิก้า คือตัวละครที่เปรียบเสมือนภาพตัวแทนของบรรพบุรุษคนดำที่ต้องเสียสละทุกอย่างเพื่อให้เธอมีวันนี้ พวกเขาทำเวโรนิก้าถีบตัวเองขึ้นมามีหน้ามีตาในสังคมด้วยการเป็นนักเขียนและนักเคลื่อนไหว ซึ่งชื่อตัวละครก็ได้แทรกนัยยะไว้ชัดเจนในตัวเองอยู่แล้ว เวโรนิก้าแปลว่า “หญิงสาวที่นำชัยชนะมาให้”

ในขณะเดียวกันตัวละครอย่างเอเดน (ร่างในเวอร์ชั่นอดีต) ของเวโรนิก้า ซึ่งเป็นปริศนาสำคัญให้ผู้ชมคาดเดาไปต่างๆนานาๆว่าตกลงแล้วทั้งสองคนนี้มีความเกี่ยวพันเชื่อมโยงเป็นอะไรกัน สาเหตุที่สองนักทำหนังอย่างบุชและเรนซ์ตัดสินใจเลือกจาแนลล์มารับบทบาทในหนังเรื่องนี้เพราะว่าเธอมีสีหน้าและจิตวิญญาณที่ดูเป็นเอกลักษณ์ ราวกับว่าเธอไม่ได้มาจากคนยุคปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้นทีมงานยังมองว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนมี “ของ” ในตัวเองที่โลกใบนี้ยังไม่เคยเห็น

ตัวโมเน่ตื่นเต้นเองที่จะได้มานำแสดงใน Antebellum เพราะมันเป็นโอกาสที่เธอจะได้แสดงเป็นสองตัวละครที่ต่างกัน ทั้ง เวโรนิก้าและเอเดน “ตอนที่ฉันอ่านบท มันเหมือนฉันโดนตีแสกหน้าเลย ทั้งประเด็น ทั้งความระทึก เต็มไปด้วยจุดหักมุม คุณจะไม่มีทางเดาได้แน่นอน” สำหรับโมเน่ หนังเรื่องนี้เปิดโอกาสให้เธอรับบทเป็นผู้หญิงที่มีลักษณะแบบที่เธอมักจะยกย่องในชีวิตจริง “ในชีวิตจริงฉันรู้จักผู้หญิงที่เหมือนเวโรนิก้าหลายคนเลย หญิงแกร่งที่อุทิศตัวเพื่อสังคม ผู้หญิงที่ไม่ยอมถูกกดขี่” เธอเล่า “ฉันอยากรับบทเป็นตัวละครที่ทำให้พวกเราภูมิใจ ยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องยกย่องผู้หญิงแบบนี้”

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook