Urban Legend ปลุกตำนานโหดมหา'ลัยสยอง เตรียมคืนจอ
คิดพล็อตใหม่ไม่รุ่ง ก็มุ่งขุดเอาหนังเก่าเก็บในกรุตัวเองมารีเมควนไปจ้า และนี่ก็ถึงคราวของอีกหนึ่งหนังเชือดในตำนานที่บรรดาคอนหนังยุค 90-2000 ต้นจะต้องเคยชมกับ Urban Legend หรือที่รู้จักกันในชื่อไทยว่า “ปลุกตำนานโหด มหา’ลัยสยอง” เอากลับมารีเมคสร้างใหม่อีกครั้ง
ย้อนกลับไปในปี 1998 Urban Legend คือหนังสยองขวัญที่รวมเอาบรรดานักแสดงวัยทีนที่กำลังมาแรงมากในยุคนั้นอาทิ จาเรด เลโต้, อลิเซีย วิทท์, รีเบคก้า เกย์ฮาร์ท, โจชัวร์ แจ็คสัน รวมไปถึงนักแสดงสาวสุดฮอตประจำยุคนั้นอย่างทาร่า รี้ด ที่ต้องมาหนีตายกันอยู่ในมหาวิทยาลัยที่มีฆาตกรโรคจิตออกอาละวาดตามตำนานพื้นบ้าน
Urban Legend เป็นผลงานการกำกับของเจมี่ แบลงค์ ซึ่งในยุคสมัยนั้นเขามีผลงานหนังขาดยาวเรื่องแรกคือ Phage ในปี 1997 ก่อนที่จะกำกับงานให้กับสตูดิโอโซนี่ พิคเจอร์เรื่อง Urban Legend แม้ตอนที่หนังเข้าฉายจะโดนจวกแหลกเละเทะจากนักวิจารณ์ว่าตัวหนังไร้ซึ่งความสดใหม่ ดำเนินเรื่องทุกอย่างตามแบบฉบับ Scream ทุกกระเบียดนิ้ว (ในยุคสมัยหนังหนังไล่เชือดที่สร้างตามหลัง Scream มักโดนด่าด้วยเหตุผลเดียวกันหมด ไม่ว่าจะเป็น I Know what you did last summer หรือ Valentine)
หนังเปิดตัวด้วยรายได้ 10 ล้านเหรียญบนตารางบ๊อกซ์ออฟฟิศในอเมริกา ตัวหนังใช้ทุนในการสร้างแค่เพียง 14 ล้านเหรียญฯเท่านั้น สุดท้ายหนังทำรายได้ในอเมริกาเหนืออยู่ที่ 38 ล้านเหรียญ เก็บในตลาดต่างประเทศอีก 34 ล้านเหรียญ ส่งผลให้รายได้ทั่วโลกปิดยอดที่ 72 ล้านเหรียญฯ เรียกได้ว่าทำกำไรให้กับสตูดิโออยู่ไม่น้อย อีกทั้งเมื่อหนังลงตลาด VDO (สมัยยังเป็นม้วนวิดีโอ) หนังก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจนอาจจะกล่าวได้ว่ามันคือหนังฮิตอีกเรื่องในช่วงเวลานั้น
เหตุการณ์ในหนัง Urban Legend เปิดฉากด้วยเหตุการณ์ฆาตกรรมนักศึกษาหญิงที่ถูกฆาตกรในชุดเสื้อกันหนาวและขวานด้ามโตสังหารอย่างน่าสยดสยอง ฆาตกรยังคงลอยนวลและสร้างความหวาดผวาให้กับเหล่านักศึกษา
อันที่จริงฉากเปิดเรื่องของหนังจัดได้ว่าสามารถสร้างความหวาดผวาให้กับผู้ชมได้เป็นอย่างดี เมื่อเติมน้ำมันแล้วพบว่าเจ้าของปั้มที่มีท่าทางมีพิรุธ พยายามจะหลอกเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายว่าบัตรเครดิตนั้นรูดไม่ผ่านและไม่สามารถจ่ายเงินได้ เขาพยายามจะบอกบางอย่างกับเธอแต่ไม่ทันเสียแล้วเมื่อนักศึกษาผู้เคราะห์ร้ายรีบตัดสินใจกระโดดขึ้นรถด้วยความตกใจและขับรถออกจากปั้มโดยไม่ทันฟังคำเตือนว่า “มีคนแอบอยู่บนเบาะหลังรถ”
ตัวหนังค่อยๆเล่าเรื่องราวที่นักศึกษาแต่ละคนถูกไล่สังหารจากฆาตกรลึกลับตามตำนานพื้นบ้าน ซึ่งระดับดีกรีความสยองนั้นอาจจะไม่ได้เลือดสาดกระจุยกระจายแบบในยุคปัจจุบันก็ตาม แต่ในยุคสมัยนั้นแค่ฉากฆาตกรเผยวิธีการฆ่าก็เล่นเอาคนดูขนลุกแล้ว แถมบรรดาฉากฆาตกรรมในเรื่องก็ถือได้ว่าน่าสนใจเอามากๆ ไม่ว่าจะเป็นฉากที่นางเอกของเรื่องกลับมาที่ห้องพักและคิดว่ารูมเมทของตัวเองกำลังมีเซ็กส์อยู่เธอจึงตัดสินใจไม่เปิดไฟในห้อง ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วเพื่อนร่วมห้องของเธอกำลังโดนฆาตกรคุกคามอยู่บนเตียง ฉากไล่ล่าดีเจสาวซาช่า (ทาร่า รี้ด) ซึ่งเป็นฉากเกมแมวไล่จับหนูที่ดุเดือดที่สุดในเรื่อง หรือกระทั่งฉากน้องหมาถูกจับยัดเอาไว้ในไมโครเวฟ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นภาพจำของผู้ชม
กำไรมหาศาลจากภาคแรกทำให้โซนี่ตัดสินใจสร้างภาคต่อออกมาในชื่อ Urban Legends: Final Cut ในปี 2000 ซึ่งคราวนี้ย้ายฉากหลังมาที่มหาวิทยาลัยแห่งใหม่ที่บรรดากลุ่มตัวเองเป็นนักศึกษาในสาขาเอกภาพยนตร์ที่กำลังถ่ายทำหนังสยองขวัญที่สร้างจากตำนานสยองขวัญพื้นบ้าน แต่ระหว่างที่ถ่ายทำไปเหล่านักศึกษาก็เริ่มตายกันอย่างปริศนาตามแบบฉบับเรื่องราวที่ถูกเล่าต่อๆกันมา ทั้งที่จริงแล้วเบื้องหลังคือฝีมือของฆาตกรโรคจิตที่แฝงตัวอยู่ภายใต้หน้ากากฟันดาบ คำวิจารณ์ในแง่ลบสุดขั้วของหนังภาคนี้ ส่งผลต่อรายรับทั่วโลกพอสมควร เมื่อหนังปิดยอดรายได้ที่ 38 ล้านเหรียญฯ จากต้นทุนในการสร้าง 14 ล้านเหรียญฯ
จากปี 2000 ถึงปี 2020 ถึงเวลาที่สตูดิโอโซนี่ตัดสินใจหยิบเอา Urban Legend มาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้ง (ทั้งที่ความเป็นจริงก็ไม่มีความจำเป็นต้องเอาหนังแบบนี้มารีเมคด้วยซ้ำไป แต่การเกาะชื่อเสียงหนังเก่าหากิน น่าจะเป็นหนทางรอดของสตูดิโอในยุคปัจจุบันไปแล้ว) โดยวางตัวโคลิน มินิแฮน จาก “What Keeps You Alive” และ “Z” ที่ทั้งรับหน้าที่เขียนบทและกำกับ ทางด้านนักแสดงนำคาดการณ์ว่าถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจะได้ซินดีนีย์ แชนด์เลอร์ จากซีรี่ส์ “Arrow” และแคทเธอรีน แมคนามารา และ คีธ พาวเวอร์ส มาเป็นกลุ่มเพื่อนตัวแสดงหลัก
ตัวพล็อตเรื่องจะต้องมีการปรับเปลี่ยนให้สอดรับกับยุคสมัยปัจจุบันที่ว่าด้วยเหล่านักศึกษาในมหาวิทยาลัยที่ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ฆาตกรรมสยองขวัญที่เกี่ยวข้องกับตำนานพื้นบ้าน ซึ่งเป็นเรื่องเล่าที่แพร่กระจายอยู่ในอินเตอร์เน็ตกลายเป็นชนวนของเหตุการณ์ระทึกที่ตามหลอกหลอนพวกเขา
Urban Legend ในเวอร์ชั่นนี้จะออกมาหัวหรือก้อย ดูท่าจะต้องรอกันอีกสัก 1-2 ปีเพราะต้องรอให้สถานการณ์โควิด-19 ในอเมริกาทุเลาลงกว่านี้หนังจึงจะสามารถเปิดกล้องได้นั่นเอง