กว่าโลกจะจดจำ James Cameron ในฐานะ King of the World โดยเพจ ตั๋วร้อน ป๊อปคอร์นชีส
James Cameron มีชีวิตวัยเด็กตามแบบฉบับเด็กเพ้อเจ้อเรื่องไซไฟ เขาชื่นชอบเรื่องนอกโลก และ สัตว์ประหลาด อันเป็นเหตุให้เขาเลือกเรียนชีววิทยาในระดับมัธยมปลาย ต่อมาก็ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยเอกฟิสิกส์ และค้นพบว่ามันไม่ใช่ ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนมาเป็นเอกภาษาอังกฤษ แต่เขาก็ได้ค้นพบว่าการเรียนไม่ใช่คำตอบใดๆ ของความฝันเขาเลย จึงตัดสินใจดรอปเรียนมหาวิทยาลัยในปี 2 เพื่อออกตามหาความฝันที่แท้จริงของตัวเอง
แต่มันไม่ได้เป็นอย่างหวังเลย เขารับจ้างทำงานสารพัด อาชีพหลักคือขับรถบรรทุก เขารู้ดีเกี่ยวกับรถบรรทุกและผูกพันกับมัน ซึ่งเขาก็ไม่ได้ละทิ้งความฝันในการอยากเป็นนักทำหนังผู้ยิ่งใหญ่ เขายังคงใช้เวลาว่างจากงานขับรถบรรทุกเพื่อศึกษาเกี่ยวกับการทำหนังและสเปเชี่ยลเอฟเฟกต์ต่างๆ ด้วยตัวเอง โดยอาศัยการอ่านวิทยานิพนธ์ในห้องสมุด
หลายปีต่อมาในวันที่เขาเกือบละทิ้งความฝัน เขาได้ดูหนังอย่าง Star wars แล้วเหมือนหนังเรื่องนี้ได้เข้ามาปลดล็อคปมในใจให้เขาเดินหน้าต่อ เขาทิ้งงานทุกอย่างที่เป็นรายได้เลี้ยงปากท้องเพื่อทำหนังของตัวเอง จนกระทั่งไปสมัครงานทำโมเดลจำลองใน Roger Corman Studios เขาเก็บเงินซื้อกล้องถ่ายหนังราคาถูกแล้วใช้มันฝึกฝนการถ่ายทำหนังของตัวเอง หนังเรื่องแรกของเขาคือหนังสั้นความยาว 10 นาทีที่ชื่อว่า Xenogenesis โดยระดมทุนจากบรรดาทันตแพทย์แถวบ้านได้ 2 หมื่นเหรียญ
James Cameron ทำงานกับหนังใหญ่เรื่องแรกคือ Battle Beyond The Stars ปี 1980 ในตำแหน่งช่างทำโมเดล และเริ่มได้มีส่วนเกี่ยวข้องเล็กๆในหนัง Escape from New York ,และ Galaxy of Terror ในตำแหน่งฝ่ายผู้ช่วยด้านเทคนิค จนกระทั่งได้มากำกับฯ หนังเรื่องแรกอย่าง Piranha II: The Spawning ซึ่ง Miller Drake ผู้กำกับฯคนเก่าได้ลาออกกลางคัน หวยจึงมาตกอยู่กับ เจมส์ คาเมรอน ที่ในตอนนั้นทำหน้าที่ผู้ช่วยด้านเทคนิค และแน่นอนว่าหนังออกมาค่อนข้างน่าผิดหวังเพราะไม่ได้มาจากมันสมองที่แท้จริงของเขา แถมก่อนหน้านี้ระหว่างการถ่ายทำมีปัญหามากมาย
คืนหนึ่ง James Cameron ฝันถึงเรื่องราวของหุ่นพิฆาตที่มาตามฆ่าเขา เมื่อตื่นขึ้นมาเขาได้จดมันใส่กระดาษเป็นพล็อตหนังเกี่ยวกับการย้อนเวลามาฆ่าคนของหุ่นยนต์พิฆาต James Cameron ได้พบกับ Arnold Schwarzenegger ดารานักกล้ามที่ยังไม่โด่งดังมากนัก และทำหนังอย่าง The Terminator ด้วยทุนแค่ราวๆ 7 ล้านเหรียญ อันที่จริงเขาฝันเห็นพล็อตในภาค 2 นั่นแหละ ทว่าเทคโนโลยียุคนั้นไม่สามารถตอบโจทย์การสร้างหุ่นพิฆาต T-1000 ได้ เขาจึงสร้างหนังภาคแรกก่อน และพัฒนาวิชวลเอฟเฟ็คควบคู่กันไป ซึ่งหนังอย่าง The Abyss ปี 1989 นั้นคือหนังที่สร้างจากความสนใจในเรื่องชีววิทยาเมื่อครั้งที่เขาเรียนในระดับมัธยมปลาย โดยเอาแนวคิดมาผูกเป็นเรื่องราว แต่จุดประสงค์จริงๆก็คือ เขาสร้างหนัง The Abyss เพื่อทดสอบเทคนิควิชวลต่างๆ ก่อนที่จะเริ่มสร้าง Terminator 2 : Judgment Day หากสังเกตกันดีๆ ใครได้ดู The Abyss มีฉากที่ James Cameron ได้ใช้วิชวลเอฟเฟ็คแบบเดียวกับใช้กับหุ่น T-1000 ที่รับบทโดย Robert Patrick ใน Terminator 2 : Judgment Day
คลิปฉากเทคนิคที่ว่า...
หนัง Terminator ภาคแรกกวาดรายได้ไป 78 ล้านเหรียญ และภาค 2 Judgment Day ที่ทุนสร้างมหาศาลกว่าเดิมหลายเท่า ก็ทำรายได้ไปทั้งสิ้น 520 ล้านเหรียญ พร้อมๆกับการเปลี่ยนโลกวิชวลเอฟเฟกต์ไปตลอดกาล เป็นจุดเริ่มต้นของเทคนิคพิเศษต่างๆ ให้นักทำเทคนิคพิเศษในยุคหลังๆ
ใน The Terminator ภาคแรก James Cameron พยายามใส่ฉากรถบรรทุกเข้ามาบ้างเหมือนกัน แต่ด้วยงบที่จำกัดจำเขี่ยมันจึงออกมาไม่วินาศสันตะโรเท่าที่เขาจินตนาการไว้ แต่เขาใส่รถบรรทุกเข้ามาในหนังเพื่อรำลึกถึงวันคืนเก่าๆ สมัยขับรถบรรทุกรับจ้าง จนกระทั่งใน The Terminator 2 : Judgment Day งบ 102 ล้านเหรียญ ทำให้เขาสามารถเนรมิตฉากไล่ล่าบนไฮเวย์ด้วยรถบรรทุกได้อย่างใจนึก มันคือฉากไล่ล่าบนถนนที่วินาศสันตะโรและมันส์ที่สุดในยุคนั้น หรือแม้กระทั่งเอามาเทียบกับหนังยุคนี้ก็ตาม มันคือความคลาสสิกจนไม่น่าจะมีใครลืมได้ลง
( และต่อไปนี้คือเกร็ดเล็กน้อยที่คุณยังไม่รู้เกี่ยวกับ James Cameron )
- James Cameron มีกระสุนปืนฝังที่บริเวณแขนของเขาหนึ่งนัด ซึ่งเกิดจากอุบัติเหตุในการถ่ายหนัง Terminator 2 : Judgment Day แต่เขาไม่เคยเอามันออกเลย
- เขายื่นเรื่องถอนสถานะออกจากการเป็นพลเมืองอเมริกัน เพราะไม่ชอบ George W. Bush หลังจากที่ Bush คนลูก ชนะเลือกตั้งกลับมาดำรงตำแหน่งอีกหน เดิมที James Cameron เป็นคนแคนนาดา แต่ย้ายมาอยู่อเมริกาจนได้เป็นพลเมืองอเมริกา และทุกวันนี้เขาได้กลับไปเป็นพลเมืองแคนาดานานแล้ว
- ข่าวลือหลายกระแสบอกว่าตอนไปเจรจาทำหนัง The Terminator เขาใช้คะแนนความ พิศวาส เข้าเจรจา เพราะคนที่หยิบยื่นโอกาสให้เขาอย่างง่ายดายคือ Gale Anne Hurd โปรดิวเซอร์สาว ซึ่งต่อมาก็ได้แต่งงานกับ James Cameron นั่นเอง แต่ก็เลิกรากันไปหลังจากครองรักกันได้ 4 ปี บรรดาเมียๆ ของเขามีใครบ้างมาดูกัน
- Sharon Williams อยู่กินกัน 6 ปี ก็หย่าร้าง ก่อนเขาจะมาโด่งดังเป็นผู้กำกับใหญ่เสียอีก
- Gale Anne Hurd สาวผู้บริหารค่ายหนัง เขาขายบทหนัง The Terminator ให้เธอแค่ 1 เหรียญ เพื่อแลกกับการที่เขาจะได้กำกับมันเอง อยู่กินกัน 4 ปี ก็หย่าร้าง
- Kathryn Bigelow ผู้กำกับฯหญิงแกร่งที่ต่อมาได้ทำหนังแมนๆอย่าง Hurt locker ซึ่งเรื่องนี้ได้ตัดหน้ากระชากรางวัลออสการ์จากสามีเก่าอย่าง James Cameron ซึ่งได้ส่ง Avatar เข้าชิงในปีเดียวกัน อยู่กินกัน 2ปีกว่าๆก็เลิกรา
- Linda Hamilton ดาราสาวนักแสดงนำจาก Termanator อยู่กินกัน 2 ปี ก็หย่าร้างกัน พร้อมๆกับข่าวลือที่ว่า การที่ Linda Hamilton หายไปจากวงการ เป็นเพราะอิทธิพลของสามีเก่า ทั้งที่เธอกำลังโด่งดัง
- Suzy Amis คนปัจจุบัน อยู่กันยาวๆมาตั้งแต่พบรักกันกลางกองถ่าย Titanic ซึ่งฝ่ายหญิงแสดงเป็นลูกสาว Rose นางเอกของเรื่องนั่นเอง ว่ากันว่าตอนพบรักกัน Linda Hamilton ยังอยู่ในฐานะภรรยาของ James Cameron
- James Cameron สัญญากับตัวเองว่าหาก Titanic ไม่ประสบความสำเร็จ เขาจะเลิกสร้างหนัง ซึ่งที่เขาสัญญาแบบนั้นเพราะเขาคิดว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ที่เขาจะได้เลิกสร้างหนัง
- ในการถ่ายหนัง Avatar เขาประสบอุบัติเหตุฟันหัก มีคนถามว่าเขาทำไมไม่ใส่ฟันปลอมหรือรักษาฟัน เขาตอบกลับทุกคนที่ถามว่า " ผมไม่ได้ใช้รอยยิ้มทำงานอยู่แล้ว ไม่เชื่อถามคนที่เคยทำงานกับผมกันดูได้เลย " เขาขึ้นชื่อในเรื่องของความเผด็จการในกองถ่ายมากๆ นั่นคือเขาล่ะ James Cameron
อัลบั้มภาพ 8 ภาพ