10 นักแสดง ที่ครั้งหนึ่งเคยปฏิเสธบทบาทสร้างชื่อให้ตัวเองมาแล้ว
การที่จะก้าวขึ้นมาเป็นนักแสดงมีชื่อเสียงในฮอลลีวูด นั้นต้องอาศัยทั้งฝีมือ เสน่ห์ พรสวรรค์ และที่สำคัญต้องพกดวงมาด้วย แน่นอนว่าการจะมาถึงจุดที่มีชื่อเสียงและสามารถเรียกค่าตัวระดับสิบล้านได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย บางคนดิ้นรนอยู่ในแวดวงฮอลลีวูดแทบทั้งชีวิตก็เป็นได้แค่ตัวประกอบ หรือบางคนโอกาสมาถึงตัวแล้ว ได้รับบาทสำคัญแต่หนังก็ไม่ฮิต ไม่เป็นที่จดจำสำหรับคนดูก็มีให้เห็นอยู่บ่อยไป แต่ก็อีกหลายคนเช่นกัน ที่ล้มลุกคลุกคลีอยู่นาน จู่ ๆ โอกาสก็มาถึงได้รับโอกาสให้แสดงบทสำคัญ หนังฮิต เข้าตาคนดู เข้าตานักวิจารณ์ หนังได้เงิน ตัวนักแสดงได้รางวัล ชื่อเสียงและหน้าตาเป็นที่จดจำ กลายเป็นนักแสดงมีชื่อเสียง ทุกสตูดิโออยากร่วมงานด้วย สินค้ามากมายพร้อมจ่ายค่าตัวให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ การที่จะเจอโอกาสแจ็กพอตแบบนี้แปลว่า นักแสดงผู้นั้นต้องตีบทแตก สามารถเข้าถึงความคิดจิตใจของตัวละครนั้น ๆ ได้อย่างถ่องแท้ รวมไปถึงบุคลิกหน้าตาก็เหมาะเจาะกับบทบาทนั้น ๆ ด้วย ถ้าทุกอย่างลงตัวแบบนี้ บทบาทของเขาก็จะกลายเป็นที่จดจำไปอีกนานแสนนาน
มีตัวอย่างให้เห็นมากมายในหนังฮอลลีวูด ที่นักแสดงสามารถแจ้งเกิด หรือตอกย้ำชื่อเสียงจากบทบาทน่าจดจำเหล่านี้ อย่างเช่น มาร์ลอน แบรนโด ในบท ดอน คอร์ลีโอเน จาก The GodFather, โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ในบท โทนี่ สตาร์ก หรือ จูเลีย โรเบิร์ต ในบท วิเวียน วอร์ด จาก Pretty Woman พูดได้ชัดเจนว่าถ้าไม่ใช่เขาหรือเธอในบทบาทที่โลกจดจำเหล่านี้ เราก็นึกไม่ออกเลยว่าจะมีใครเหมาะสมไปกว่าพวกเขาหรือเธอ แต่ก็มีนะครับ ที่นักแสดงระดับแถวหน้าเหล่านี้ ที่ครั้งหนึ่งพวกเขาได้รับการยื่นบทบาทแจ้งเกิดเหล่านี้ให้ แต่พวกเขาก็เคยบอกปฏิเสธบทบาทเหล่านี้ไปแล้ว ก่อนที่จะตัดสินใจตอบรับในที่สุด แล้วสุดท้ายก็เป็นการตอกย้ำว่าพวกเขาเกือบพลาดโอกาสสำคัญที่อาจจะไม่มีโอกาสที่สองอีกแล้ว มาดูกันซิว่ามีใครบ้าง ที่เกือบจะพลาดโอกาสสำคัญในชีวิตกันไปเสียแล้ว
อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ กับบท T-800 ใน Terminator
จากนักเพาะกายขอเข้าสู่วงการแสดง แล้วฮอลลีวูดก็ต้อนรับเขาด้วยบทบาทพระเอกใน Conan the Barbarian (1982) และ Conan the Destroyer (1984) ทำให้ชื่อเสียงของ อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ เป็นที่รู้จักในระดับหนึ่ง แต่อาร์โนลด์ก็ยังมีความใฝ่ฝันว่าเขาอยากจะไปให้ถึงจุดพระเอกหนังแอ็กชั่นในระดับ คลินต์ อีสต์วูด ผลงานเรื่องต่อไปของเขา อาร์โนลด์ จึงอยากที่จะก้าวต่อไปในบทบาท “พระเอก” เท่านั้น
เมื่อทีมงาน Terminator ติดต่อเขามาในครั้งแรกนั้น เสนอให้เขารับบทเป็น ไคล์ รีส พระเอกของเรื่อง ทหารจากโลกอนาคตที่ถูกส่งมาปกป้องอารักขา ซาราห์ คอนเนอร์ นางเอกของเรื่อง ซึ่งอาร์โนลด์อ่านบทแล้วก็ยินดีตกปากรับคำ ส่วนบท T-800 หุ่นยนต์สังหารจากโลกอนาคตนั้นถูกเสนอให้กับ แลนซ์ เฮ็นริกสัน และ โอ.เจ. ซิมป์สัน ซึ่งหนังก็เกือบจะเดินหน้าไปในทิศทางนั้นแล้วล่ะ
จนเมื่อ เจมส์ คาเมรอน เจ้าของเรื่องและผู้กำกับได้มีโอกาสเจอตัวอาร์โนลด์แบบเป็น ๆ เจมส์ มองเขาอย่างพินิจพิจารณาแล้วก็ยื่นข้อเสนอว่า อาร์โนลด์ เหมาะที่จะเล่นเป็น T-800 หุ่นยนต์สังหารของเรื่องมากกว่า เป็นข้อเสนอที่อาร์โนลด์ไม่ยินดีนัก อย่างที่บอกเขาอยากจะเป็นพระเอกหนังแอ็กชัน ไม่อยากเล่นเป็นตัวร้ายของเรื่อง ข้อเสนอจากเจมส์ คาเมรอน นี่มันสวนทางกับความใฝ่ฝันเขาเสียจริง แล้วที่สำคัญ T-800 เป็นหุ่นยนต์ซึ่งทั้งเรื่องแทบจะไม่มีบทพูดเลย ตอนที่เขาเล่นเป็นโคแนน ก็ว่าบทพูดน้อยแล้วนะ มาเป็น T-800 บทพูดน้อยกว่าเสียอีก ทำให้อาร์โนลด์กังวลถึงภาพลักษณ์ตัวเอง กลัวคนดูจะมองว่าภาษาอังกฤษเขาไม่แข็งแรง เลยเลือกรับแต่บทที่พูดน้อย ๆ แบบนี้ หรืออีกเหตุผลหนึ่งสำเนียงอังกฤษเขาแย่มากจนทีมงานต้องตัดบทพูดของเขาทิ้ง อาร์โนลด์กลัวคนดูคิดแบบนี้
ทำให้อาร์โนลด์ ขอยืนกรานข้อเสนอเดิมที่จะเป็น ไคล์ รีส แต่นักแสดงหรือจะสู้ผู้กำกับ เจมส์ คาเมรอน ปักอกปักใจแล้ว อาร์โนลด์ จะต้องเล่นเป็น T-800 เท่านั้น เจมส์ให้ข้อคิดกับเขาว่า
“คุณก็เล่นบท T-800 ให้ออกมาน่าสนใจสิ คุณสามารถทำให้บทบาทนี้เป็นที่จดจำสิ ทำให้คนดูชื่นชมคุณว่าคุณถ่ายทอดบทบาทได้ดี”
คำนี้ล่ะ ที่ทำให้อาร์โนลด์เอากลับมาคิดทบทวนอีกครั้ง ว่าแล้วเขาก็ตกปากรับคำในที่สุด คงไม่ต้องบอกว่าผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างไร แม้ว่าตลอดเส้นทางการแสดงของอาร์โนลด์ เขาจะรับบทนำมากมาย แต่บทบาท T-800 ก็เป็นภาพจำที่สุดของเขา แล้วก็เป็นจริงอย่างที่เจมส์เอ่ยไว้ จากบทบาทตัวร้ายของเรื่อง แต่กลายเป็นที่จดจำ ภาคต่อมาเจมส์ถึงกับต้องแก้บทให้ T-800 กลายเป็นหุ่นฝ่ายดีจนได้ วิน-วิน กันทั้งสองฝ่ายในที่สุด
อลัน ริกแมน กับบท ฮานส์ กรูเบอร์ ใน Die Hard
อลัน ริกแมน นักแสดงผู้มากฝีมือชาวอังกฤษ ผู้จากเราไปแล้วเมื่อปี 2016 ในวัย 69 ปี ตลอดเวลาที่เขาอยู่ในวงการฮอลลีวูด อลันได้ฝากผลงานที่น่าจดจำไว้มากมาย แม้ว่าผู้ชมในวงกว้างอาจจะจดจำเขาได้ในบท เซเวอรัส สเนป จากแฟรนไชส์ Harry Potter แต่ถ้าเขาไม่ได้บทแจ้งเกิดจาก Die Hard อลันก็คงไม่ได้อยู่ยืนยาวในวงการแสดงจนมาได้มาร่วมแสดงในโปรเจกต์ใหญ่อย่าง Harry Potter ได้หรอกนะ สำหรับ Die Hard นั้น ไม่เพียงแค่เป็นหนังแอ็กชั่นในดวงใจของหลาย ๆ คนแล้วยังเป็นหนังที่แจ้งเกิดให้กับ บรู๊ซ วิลลิส กลายเป็นพระเอกหนังแอ็กชั่นแถวหน้าในยุค 90s ไป แต่อีกรายที่แฟนหนังไม่มีวันลืมก็คือบทบาทที่ อลัน ริกแมน ได้ฝากฝีไม้ลายมือการแสดง จนทำให้ ฮานส์ กรูเบอร์ วายร้ายชาวเยอรมันสามารถขึ้นหิ้งวายร้ายที่น่าจดจำตลอดกาลอีก 1 ราย ด้วยภาพลักษณ์ของผู้ร้ายที่มาในมาดใหม่ แต่งตัวเนี้ยบ สายตาเย็นชา มาดนิ่ง พูดน้อยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ก็โหดขั้นสุดและฉลาดเป็นกรด นับเป็นวายร้ายที่น่ากลัวรายหนึ่งในโลกภาพยนตร์ แต่กระนั้นก็ตาม ในวันที่อลันได้รับโอกาสให้รับบทนี้ เขาก็เคยบอกปัดไปแล้ว
อลัน ริกแมน เคยย้อนเล่าว่า เขาบินจากอังกฤษมาพักในลอส แองเจลิส ได้ 2 วันเอง ตอนที่เอเยนต์ของเขานำบท ฮานส์ กรูเบอร์ นี้มาเสนอ เขาอ่านบทแล้วเห็นว่าเป็นหนังแอ็กชั่น ตำรวจจับผู้ร้าย ก็บอกปฏิเสธไปทันที
“ผมได้อ่านบทแล้วผมก็บ่นกลับไปว่า ‘นี่มันบ้าบออะไรกัน? ผมไม่เล่นหนังแอ็กชันหรอกนะ’ “
มองจากวงนอกเข้าไป อลันอาจจะดูเหมือนหยิ่ง เลือกงาน ทั้งที่เค้าก็เป็นนักแสดงหน้าใหม่ ยังไม่เคยมีผลงานแสดงมาก่อน แต่ถ้ามองเครดิตก่อนหน้าของเขาก็พอเข้าใจได้ เพราะว่าอลันมาจากวงการละครเวที เคยเป็นสมาชิกของ the Royal Shakespeare Company เขาจึงอยากได้บทที่เป็นดราม่าจริงจังเสียมากกว่า พอมีบทที่จะต้องถือปืนต่อสู้ เขาจึงรู้สึกว่าไม่ใช่แนวที่เขาถนัด แต่สุดท้ายอลัน ริกแมน ก็ต้องขอบคุณเอเยนต์ของเขาที่พยายามหว่านล้อมว่า
“นี่คือโอกาสสำคัญที่คุณจะได้ร่วมงานในโปรดักชันใหญ่อย่างนี้นะ”
ทำให้อลัน ยอมเปลี่ยนใจลองเปลี่ยนแนวจากดราม่า มาจับปืนดู แล้วบท ฮานส์ กรูเบอร์ ก็กลายเป็นประตูสู่โอกาสและชื่อเสียงในอาชีพการงานของเขา
ลีโอนาโด ดิคาปริโอ กับบท แจ็ก ดอว์สัน ใน Titanic
ด้วยความที่เป็นนักแสดงที่มีความทะเยอทะยานมาตั้งแต่เด็ก ตอนเข้าวงการใหม่ ๆ เขาก็สร้างชื่อให้ตัวเองได้ จากบทบาท เด็กปัญญาอ่อนใน What’s Eating Gilbert Grape ที่ส่งให้เขาเข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงสมทบในปี 1993 ตั้งแต่นั้นลีโอนาร์โด ก็มุ่งมั่นรับแต่บทดราม่าจริงจัง สังเกตได้จากผลงานที่เขาเลือกแสดง The Basketball Diaries (1996), Total Eclipse (1995), Marvin’s Room (1996) ที่ลีโอนาร์โด หมายมั่นว่าจะเดินเส้นทางแต่งานแสดงขายฝีมือเท่านั้น อาจจะมีเป้าหมายอยู่ที่รางวัลออสการ์
จนมาถึงปี 1997 เมื่อเจมส์ คาเมรอน สร้างหนัง Titanic ผลงานที่ใช้ทุนสร้างมหาศาลในปีนั้น ด้วยตัวเลข 200 ล้านเหรียญ และครองแชมป์หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลมายาวนาน กับบท แจ็ก ดอว์สัน พระเอกของเรื่องนั้น เจมส์หมายหมั้นว่าว่าเขาอยากได้ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ เท่านั้นที่เหมาะสมกับบทนี้ แต่ลีโอนาร์โด กลับไม่สนใจ เขามองว่าบทบาทแจ็ก ดอว์สัน ใน Titanic เป็นโรแมนติก เมโลดราม่า ซึ่งไม่ใช่แนวที่เขาอยากแสดง
“บท แจ็ก ดอว์สัน นั้นมันไม่ต้องเผชิญความทุกข์ยาก ในขณะที่ผลงานที่ผ่านมาของลีโอนั้นเขาเลือกแต่บทที่ต้องมืดมนเท่านั้น” เจมส์ คาเมรอน ย้อนเล่าเหตุการณ์ในวันนั้น
ทำให้ผู้กำกับ เจมส์ คาเมรอน ต้องขอเจอตัวลีโอนาร์โด เพื่อมาหว่านล้อมด้วยตัวเขาเอง ในห้องทำงานที่ทั้งคู่ได้คุยกัน เจมส์ได้ชี้ภาพโปสเตอร์หนังคลาสสิกบนผนังห้องให้ลีโอนาร์โดได้ดู มีภาพพระเอกอย่าง เกรกอรี เป็ก และ จิมมี สจวร์ต เขาบอกกับลีโอว่า
“พวกเขายืนอยู่ตำแหน่งนั้นอย่างมั่นคงและแข็งแกร่งแล้วเขาก็สามารถสะกดสายตาคนดูได้อยู่หมัด โดยที่ไม่ต้องพยายามทำอะไรมากมายเลย”
สิ่งที่เจมส์ต้องการจะบอกลีโอก็คือ การที่จะเป็นนักแสดงเจ้าบทบาทและสามารถครองใจคนดูนั้นน่ะ ถ้าคุณเป็นนักแสดงที่มีความสามารถไม่ว่าบทบาทไหนก็จะต้องดึงดูดผู้ชมได้ โดยไม่ต้องทุ่มเทอะไรมากมาย และการทำได้แบบนี้สิถึงจะเรียกว่านักแสดงมืออาชีพตัวจริง แล้วถ้อยคำของเจมส์ คาเมรอน ก็ทำได้สำเร็จ ลีโอนาร์โด ตกลงยอมรับบท แจ็ก ดอว์สัน ซึ่งผลลัพธ์ก็เห็นกันได้ชัดแล้วว่า ถ้าเขาพลาดบทนี้ไปจะน่าเสียดายขนาดไหน แม้ผ่านมา 23 ปีแล้ว ผู้ชมทั่วโลกก็ยังจำลีโอนาร์โด ในภาพลักษณ์ของ แจ็ก ดอว์สัน ได้ตลอดมา
กวินเน็ธ พัลโธรว์ กับบท ไวโอลา เดอ เลสเซ็ปส์ ใน Shakespeare in Love
กวินเน็ธเข้าสู่วงการแสดงในปี 1989 กับการแสดงหนังที่ฉายทางทีวี และทีวีซีรีส์ จนเริ่มเป็นที่รู้จักจากบทนางเอกใน SE7EN (1995) หนังคลาสสิกที่เป็นก้าวสำคัญทั้งในอาชีพการแสดงและชีวิตส่วนตัว เพราะทำให้เธอได้พบกับ แบรด พิตต์ และพาไปสู่การคบหากันจริงจัง จากความสำเร็จของ SE7EN ทำให้เธอได้ขยับมารับบทนำใน Emma (1996) หนังจากบทประพันธ์คลาสสิกของ เจน ออสเท็น ที่สร้างเป็นภาพยนตร์มาหลายต่อหลายครั้งแล้ว
หลังจาก Emma ความสำเร็จก็ถาโถมเข้าหาเธอแบบตั้งตัวไม่ทัน เมื่อปี 1998 เธอสร้างสถิติด้วยการมีหนังที่เธอรับบทนำออกฉายในปีนั้นถึง 5 เรื่อง Sliding Doors, Hush, Great Expectations, A Perfect Murder และเรื่องสำคัญที่เรากำลังพูดถึงก็คือ Shakespeare in Love ผลงานที่ส่งเธอไปถึงจุดสูงสุดในอาชีพ กับบท ไวโอลา เดอ เลสเซ็ปส์ หญิงสูงศักดิ์ในอังกฤษ ที่ปลอมตัวเป็นผู้ชายเพื่อไปสมัครเข้าเป็นนักแสดงในโรงละครเวทีของ เชคสเปียร์ แต่แล้วเธอก็ดันไปตกหลุมรักกับ วิลเลียม เชคสเปียร์ เสียเอง และเธอเองนั่นแหละที่เป็นแรงบันดาลใจให้เชคสเปียร์เขียนบทละคร Romeo and Juliet อันลือลั่นออกมา
แต่ที่จริงแล้วปีนั้น กวินเน็ธ เกือบจะมีผลงานออกฉายแค่ 4 เรื่อง เพราะเดิมทีเธอบอกปฏิเสธไม่รับแสดง Shakespeare in Love เรื่องนี้ไปแล้ว ด้วยเหตุผลส่วนตัว เพราะว่าเธอเพิ่งเลิกรากับ แบรด พิตต์ และกำลังอยู่ในความโศกเศร้า แล้วหนังเรื่องนี้ต้องบินไปถ่ายที่อังกฤษ ซึ่งเธอไม่พร้อมที่จะเดินทางไปไหนไกล
“ตอนนั้นฉันไม่สนแม้แต่จะอ่านบทเลยด้วยซ้ำ ตอนนั้นฉันเหมือนกับว่า ฉันอ่านอะไรไม่ได้เอาเสียเลย มันเป็นช่วงเวลาที่แสนสาหัสสำหรับฉันจริง ๆ นะ”
จนเวลาผ่านไป 2-3 เดือน กวินเน็ธเองก็เริ่มจะฟื้นสภาพจิตใจได้แล้ว เธอก็เลยลองหยิบบทมาอ่านดู กลายเป็นว่าเธอหลงรักบท ไวโอลา เดอ เลสเซ็ปส์ เข้าจริงจัง
“ฉันนี่ถึงกับวางไม่ลงเลย มันสมบูรณ์แบบมาก”
ทำให้เธอติดต่อกลับไปที่กองถ่าย ว่าเธอเปลี่ยนใจอยากรับบทนี้แล้ว ก็โชคดีที่ทางกองถ่ายก็ยังไม่ได้แคสติ้งนักแสดงคนไหนมารับบทนี้ ผลก็คือ Shakespeare in Love ประสบความสำเร็จทั้งด้านรายได้และรางวัล หนังทำรายได้ไป 289 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างเพียงแค่ 25 ล้านเหรียญ ติดชาร์ต 20 หนังทำเงินสูงสุดของปี 1998 และที่สำคัญหนังเข้าชิงออสการ์แบบเป็นบ้าเป็นหลัง 13 รางวัล คว้ามาได้สำเร็จ 7 รางวัล และ 1 ในนั้นก็คือ ออสการ์ตัวแรกและตัวเดียวในชีวิตการแสดงของเธอ จึงสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า Shakespeare in Love คือจุดสูงสุดในชีวิตการแสดงของเธอ
ยวน แม็กเกรเกอร์ กับบท โอบีวัน เคโนบี ใน The Phantom Menace
ยวน แม็กเกรเกอร์ เป็นนักแสดงชาวอังกฤษโดยกำเนิด เข้าวงการแสดงมาตั้งแต่ปี 1993 ผลงานส่วนใหญ่ของเขาก็วนเวียนอยู่กับผู้กำกับสายอินดี้อย่าง แดนนี่ บอยล์ ที่เขารับบทนำในหนังยุคแรก ๆ Shallow Grave, Trainspotting หรือหนังของปีเตอร์ กรีนอะเวย์ อย่าง The Pillow Book จากนั้น ยวน ก็เริ่มข้ามมาฝั่งฮอลลีวูด ประเดิมกับงานแสดงทีวีซีรีส์ Tales from the Crypt, ER ได้รับบทนำในหนังฟอร์มเล็กหลายเรื่อง Little Voice, Velvet Goldmine แต่อยู่ดี ๆ ก็เหมือนชีวิตจะก้าวกระโดดไปทีเดียวหลายขั้น เมื่อเขาได้รับข้อเสนอให้รับ อาจารย์โอบีวัน เคโนบี ใน Star Wars: Episode I – The Phantom Menace ทำเอายวนถึงกับทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว
เขาให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ The Telegraph ถึงความรู้สึกตอนนั้น
“ตอนแรกเลย ผมไม่ค่อยมั่นใจที่จะรับบทแบบนี้เลย ผมมองตัวเองว่าเป็นนักแสดงบ้าน ๆ คนหนึ่งเท่านั้น ผมเป็นนักแสดงแบบโกโรโกโสที่มักเล่นหนังเกี่ยวกับยาเสพติดหรืออะไรพวกนี้ ซึ่งผมมองตัวเองว่าผมเหมาะกับหนังแนว ๆ นี้มากกว่า”
แล้วความคิดนี้ก็เปลี่ยนไปเมื่อเขาได้เจอกับจอร์จ ลูคัส ตัวเป็น ๆ
“ผมไม่ชอบฮอลลีวูดเลยนะ แล้วจอร์จเค้าก็เกลียดฮอลลีวูดเลยล่ะ เขาอยู่ในซาน ฟรานซิสโก แล้วก็ใช้ชีวิตตามแนวทางของเขา”
ยวนเริ่มประทับใจในตัวจอร์จ ลูคัส ที่มีจิตวิญญาณแบบอินดี้ ที่เหมือนกับเขา และเป็นจุดที่ทำให้เขากลายมาเป็นเจไดในที่สุด ถึงแม้ว่า Star Wars ไตรภาคนี้จะมีแฟน ๆ ที่ทั้งชอบและไม่ชอบ แต่จุดที่แฟน ๆ ส่วนใหญ่พึงพอใจไม่โดนเสียงวิจารณ์ในด้านลบก็คือบทบาท โอบีวัน เคโนบี ของยวน แม็กเกรเกอร์ นี่ล่ะ
เรล์ฟ ไฟนส์ กับบท ลอร์ดโวลเดอมอร์ ในแฟรนไชส์ Harry Potter
เรล์ฟ ไฟนส์ กับบท ลอร์ดโวลเดอมอร์ ในแฟรนไชส์ Harry Potter
เรล์ฟ ไฟนส์ ก็เป็นนักแสดงชาวอังกฤษอีกคนหนึ่ง เข้าวงการด้วยงานแสดงทีวีซีรีส์ 3 เรื่อง ก่อนที่ผลงานจะไปเข้าตาพ่อมดฮอลลีวูด สตีเวน สปิลเบิร์ก ที่ได้หยิบยื่นบทบาทสำคัญ เอมอน เกิธ นายทหารนาซีจอมโหดใน Schindler’s List (1993) ที่เรล์ฟเล่นได้โหดและเลวจนคนดูจดจำได้แม่น กลายเป็นบทแจ้งเกิดที่ทำให้เขากลายเป็นพระเอกคนใหม่ของฮอลลีวูดในวันนั้น เรล์ฟมีผลงานต่อเนื่องหลายเรื่อง Quiz Show (1994), Strange Days (1995) และ The English Patient (1996) หลังจากนั้นเขาก็ยังได้รับบทนำในหนังอีกหลายเรื่อง แต่ก็เป็นผลงานในระดับกลาง ๆ ไม่ได้มีบทบาทที่น่าจดจำ
จนมาถึงปี 2005 โอกาสสำคัญก็มาถึงเขาอีกครั้ง เมื่อเขาได้รับข้อเสนอให้เป็น ลอร์ดโวลเดอเมอร์ วายร้ายตัวฉกาจคู่ปรับของ แฮร์รี่ พอตเตอร์ แน่นอนว่าบทสำคัญในแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องแบบนี้ น่าจะเป็นที่หมายปองของนักแสดงทั่วทั้งฮอลลีวูด แต่ไม่ใช่กับ เรล์ฟ ไฟนส์ ที่เขาบอกปัดไปอย่างหน้าตาเฉย เพราะในวันนั้นเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ Harry Potterเอาเสียเลย
“ความจริงก็คือ ตอนนั้นผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ Harry Potter เลยไม่ว่าจะหนังหรือหนังสือ พอผมได้รับข้อเสนอให้รับบทเป็นเจ้าแห่งด้านมืด ผมก็คิดแค่ว่าบทนี้มันไม่เหมาะกับผม”
ใครที่ได้ดู Harry Potter น่าจะเห็นพ้องต้องกันว่า เรล์ฟ ไฟนส์ สามารถถ่ายทอดบทบาทของลอร์ดโวลเดอมอร์ออกมาได้ทั้งน่ากลัวและน่าเกรงขาม ตรงตามตัวหนังสือที่ เจ.เค. โรว์ลิง ได้บรรยายไว้ ถ้าไม่ใช่ เรล์ฟ ไฟนส์ ในบทนี้เราก็นึกไม่ออกว่าจะมีใครเหมาะสมไปกว่านี้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เราก็เกือบไม่ได้เห็นเรล์ฟ ไฟนส์ ในบทนี้แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะพี่สาวและหลาน ๆ ของเขาเป็นผู้โน้มน้าวให้เรล์ฟเปลี่ยนใจ เหตุมันเริ่มจากเรล์ฟไปเล่าให้พี่สาวฟังว่า เขาได้รับการติดต่อจากค่ายวอร์เนอร์ให้ไปรับบทเป็นลอร์ดโวลเดอมอร์ แน่ล่ะว่าคนที่เป็นแม่ลูกสาม จะต้องรู้จัก Harry Potter เป็นอย่างดี ซึ่งทำเอาเธอตื่นเต้นมาก เธอจึงได้อธิบายให้เรล์ฟเข้าใจว่าบทบาทนี้มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน และคะยั้นคะยอให้เขาเปลี่ยนใจตอบรับบทนี้ได้ในที่สุด
แม้ว่าวันนี้เรื่องราวของ Harry Potter ในแฟรนไชส์หลักจะสิ้นสุดไปแล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องราวลอร์ดโวลเดอมอร์ ได้กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในฐานะวายร้ายที่น่ากลัวที่สุดรายหนึ่งบนโลกภาพยนตร์ นิตยสาร Empire ได้เคยจัดโพลให้ผู้อ่านเสนอชื่อวายร้ายตัวฉกาจในโลกภาพยนตร์ ชื่อของลอร์ดโวลเดอมอร์นั้นอยู่ในลำดับที่ 9 เหนือกว่าวายร้ายคลาสสิกอย่าง นอร์แมน เบตส์, เฟรดดี้ ครูเกอร์ และไมเคิล มายเออร์ เสียอีก
คริส เฮมส์เวิร์ธ กับบท เทพเจ้าธอร์ ในแฟรนไชส์ Thor
คริส เฮมส์เวิร์ธ กับบท เทพเจ้าธอร์ ในแฟรนไชส์ Thor
ในกลุ่มซูเปอร์ฮีโร่หลัก ๆ ของมาร์เวลเลย คริส เฮมส์เวิร์ธ นี่เรียกได้ว่าเป็นนักแสดงคนเดียวในกลุ่มนี้ที่โนเนมสุด ๆ ก่อนที่จะได้มาสวมผ้าคลุมแดง ควงค้อนโยเนียร์นั้น เขาเป็นนักแสดงชาวออสเตรเลียที่มีบทนำอยู่ใน Home and Away ทีวีซีรีส์สัญชาติออสเตรเลีย ที่เขากะหากินยาว ๆ เพราะสร้างต่อเนื่องมา 3 ซีซั่นแล้ว ซึ่งก็เป็นแนวที่คริสพึงพอใจด้วย เขาไม่ต้องดิ้นรนไปหางานอื่น แต่ด้วยใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรและส่วนสูงถึง 190 ซม. รูปร่างหน้าตาแบบนี้ล่ะที่ไปลงล็อกพอดีกับบท เทพเจ้าธอร์ ที่มาร์เวลตามหาอยู่พอดี ทางมาร์เวลก็เลยยื่นข้อเสนอผ่านไปทางเอเยนต์ของคริส เฮมส์เวิร์ธ
คริส เฮมส์เวิร์ธ ย้อนเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า วันนั้นเขากำลังเดินข้ามถนนอยู่ในแวนคูเวอร์ เอเยนต์ของเขาก็โทรเข้ามาแจ้งข่าวว่า มาร์เวลต้องการตัวคริสไปรับบทเป็นเทพเจ้าธอร์ เป็นข่าวที่ตัวเอเยนต์ตื่นเต้นมากกว่าเขาเสียอีก แต่มีเงื่อนไขว่าต้องเซ็นสัญญาต่อเนื่อง 6 เรื่อง ตรงจุดนี้ล่ะที่ทำให้คริสรู้สึกลังเลใจที่จะตอบรับ ซึ่งเอเยนต์ของเขาเองก็ยอมรับว่ามันเป็นสัญญาที่ค่อนข้างผูกพันในระยะยาว
“ตอนนั้นเราเหมือนกับว่ามันเป็นสัญญาที่เซ็นไปแล้วค่อนข้างหนักหนาเอาการ เราจึงเลือกบอกปฏิเสธไปจะดีกว่า”
แม้ว่าเขาจะบอกปฏิเสธข้อเสนอนี้ไปแล้ว แต่กลายเป็นว่าคริสไม่สามารถตัดข้อเสนอนี้ออกจากหัวไปได้ เสียงในหัวยังคงตอกย้ำกับเขาอยู่เสมอว่า โอกาสแบบนี้มันช่างเหมือนกับฝันเป็นจริงเลยนะ คริสเลยกลับมาทบทวนอีกครั้งประมาณว่า ช่างมันวะ! เสี่ยงเป็นเสี่ยงกัน และนั่นคือจุดที่ทำให้เราได้เห็น คริส เฮมส์เวิร์ธ ในภาพลักษณ์เทพเจ้าธอร์ และเป็นซูเปอร์ฮีโร่มาร์เวลเพียงคนเดียวที่จะมีหนังเดี่ยวลากยาวมาได้ถึงภาค 4 เลยด้วย
เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ กับบท แคตนิส เอเวอร์ดีน ในแฟรนไชส์ The Hunger Games
เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ กับบท แคตนิส เอเวอร์ดีน ในแฟรนไชส์ The Hunger Games
เป็นนักแสดงอีกคนที่ความสำเร็จมาถึงตัวอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวแทบไม่ติด เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ เข้าวงการแสดงมาในปี 2006 เหมือนกับหลาย ๆ คน เธอเริ่มต้นด้วยการแสดงในทีวีซีรีส์ แต่ด้วยพรสวรรค์ทางด้านการแสดง ทำให้ผลงานของเธอใน Winter’s Bone ภาพยนตร์ปี 2010 ถูกกล่าวขวัญอย่างมากจากบรรดานักวิจารณ์ แม้จะเป็นภาพยนตร์ฟอร์มเล็ก ๆ และเป็นหนังยาวเรื่องที่ 4 ของเธอ แต่ก็สามารถส่งให้เธอเข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงนำยอดเยี่ยมได้เลย ชื่อของ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ กลายเป็นที่จับตามองในวงการตั้งแต่วันนั้น งานแสดงก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามา
บทบาทสำคัญที่หยิบยื่นให้เธอหลังจาก Winter’s Bone ก็คือการได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกใน X-Men กับบท มิสติก มนุษย์กลายพันธุ์ที่มีความสามารถในการปลอมแปลงร่าง เป็นแฟรนไชส์ที่ผูกพันกับเธอไปถึง 3 ภาค แม้ว่าจะเป็นหนังในระดับบล็อกบัสเตอร์ แต่เธอก็เป็นหนึ่งในทีมนักแสดงชุดใหญ่และมักปรากฏตัวในภาพลักษณ์ที่ย้อมสีฟ้าทั้งตัว จึงยังไม่ใช่บทที่ส่งให้เธอเป็นที่จดจำในวงกว้างมากนัก
โอกาสสำคัญจริง ๆ มาถึงในปีถัดมา เมื่อ The Hunger Games นิยายขายดีถูกพัฒนามาเป็นภาพยนตร์และผู้สร้างเลือกให้เธอมารับบทนำเป็น แคตนิส เอเวอร์ดีน เมื่อโอกาสแบบนี้ถูกหยิบยื่นมาให้ เธอน่าจะโห่ร้องด้วยความยินดี แต่กลายเป็นว่าเจนนิเฟอร์กลับรู้สึกลังเลใจที่จะตอบรับ ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอโปรดปรานนิยาย The Hunger Games นี้มาก และด้วยประสบการณ์ที่เห็นหนังที่สร้างจากนิยายชั้นดีหลายต่อหลายเรื่องไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นภาพได้สมคุณค่า เธอจึงไม่อยากมีส่วนร่วมในการทำร้ายนิยายที่เธอรัก
จนกระทั่งเธอได้มีโอกาสพูดคุยกับ แกร์รี่ รอส ผู้กำกับภาคแรก ที่ให้ความมั่นใจกับเธอว่า เขาเข้าใจสิ่งที่เธอกังวลและเขาสัญญาว่าจะถ่ายทอดคุณค่าและเนื้อหาของนิยายออกมาให้ได้ครบถ้วน เพราะนี่คือโปรเจกต์ที่สร้างโดยแฟนนิยายเพื่อแฟนนิยาย
ผ่านไปได้เปลาะหนึ่ง แต่ความกังวลของเจนนิเฟอร์ยังไม่หมดไป เพราะในวันนั้นชื่อเสียงเธอยังอยู่ในระดับกลาง ๆ และเธอเป็นนักแสดงที่มาทางสายอินดี้ขายฝีมือ เมื่อต้องเข้ามารับบทนำในหนังฟอร์มใหญ่ระดับบล็อกบัสเตอร์ที่คนทั่วโลกคอยจับตามอง การตอบรับบทในระดับนี้เป็นก้าวสำคัญในชีวิตซึ่งจะส่งผลต่อเส้นทางในอาชีพของเธอในอนาคต และเป็นก้าวที่เสี่ยงอย่างมาก คือถ้าดีก็ดีเลย แต่ถ้าผลลัพธ์ออกมาตรงกันข้าม ชื่อเสียงเธอก็อาจจะดิ่งเลย
“การตอบรับแสดงเรื่องนี้มันเท่ากับเปลี่ยนชีวิตฉันไปเลยก็ได้ ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่ามันจะออกมาดีไหม ฉันกังวลที่สุดคือผลตอบรับหลังจากหนังออกฉายแล้ว แต่ก็นะ คุณไม่สามารถวิ่งหนีสิ่งที่คุณกลัวได้ ก็มีแต่ต้องลุยไปกับมันสักตั้งนั่นแหละ”
ถึงวันนี้เราต่างก็เห็นแล้วว่าผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างไร ในวัย 30 ปี เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ เข้าชิงออสการ์มาแล้วถึง 4 ครั้ง และคว้ามาได้สำเร็จจากหนัง Silver Linings Playbook (2012) แต่ถึงอย่างนั้น แฟน ๆ ทั่วโลกก็จดจำเธอได้ในภาพลักษณ์ของ แคตนิส เอเวอร์ดีน อยู่ดี
คริส แพรตต์ กับบท สตาร์ลอร์ด ใน Guardians of the Galaxy
คริส แพรตต์ กับบท สตาร์ลอร์ด ใน Guardians of the Galaxy
คริส แพรตต์ เข้าวงการแสดงมาตั้งแต่ปี 2000 มีผลงานแสดงทั้งทีวีซีรีส์และภาพยนตร์มากมายหลายเรื่อง เขามีโอกาสได้ร่วมแสดงในหนังดังหลายเรื่องทั้ง Bride Wars (2009), Moneyball (2011), Zero Dark Thirty (2012) แต่ก็ไม่เคยได้บทที่น่าจดจำ แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนหรือดิ้นรนพยายามอะไรมาก เพราะอย่างน้อยเขาก็เป็นหนึ่งในทีมนักแสดงนำประจำซิตคอม Parks and Recreation ที่ลากยาวมาตั้งแต่ปี 2009 และบท แอนดี้ ดไวเยอร์ ของเขานั้น ถูกกำหนดบุคลิกลักษณะไว้ว่าเป็นชายร่างตุ้ยนุ้ย ทำให้คริส แพรตต์ จึงต้องเพิ่มน้ำหนักตัวเองตามบทนี้
แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นในปี 2013 เมื่อเขาได้รับการทาบทามจากมาร์เวล ให้มาออดิชั่นบท ปีเตอร์ ควิลล์ ฉายา สตาร์ลอร์ด ดีใจก็ดีใจ สับสนก็สับสนว่าทีมงานมาร์เวลมองเห็นอะไรในตัวเขา ทั้งที่ตอนนั้นเขาอ้วนมาก หนักถึง 136 กิโลกรัม บวกกับคริสเคยมีประสบการณ์เลวร้ายกับหนังฟอร์มใหญ่ที่เขายังไม่ลืม
“ผมไม่ต้องการเจอประสบการณ์น่าอับอายขายหน้าอีกแล้ว เหมือนตอนที่ผมไปออดิชันบทในหนัง G.I. Joe เมื่อ 2 ปีก่อน ตอนที่ผมไปที่นั่น ผมผ่านขั้นตอนไปได้ครึ่งทางแล้วผมก็เห็นสายตาผู้กำกับที่ทำท่ากลอกตาบนใส่ผม”
แต่สุดท้ายคริสก็ขอลองดูอีกสักครั้ง เขาพยายามลืมประสบการณ์อันน่าอับอายในอดีต แล้วพิสูจน์ตัวเองว่าเขาสามารถเป็นพระเอกได้ ด้วยการมุมานะเข้ายิมแล้วลดน้ำหนักจนฟิตหุ่นได้เฟิร์มอย่างที่เราเห็นเขาในภาพลักษณ์ของ ปีเตอร์ ควิลล์ ในปัจจุบันนี้
เอ็มมา สโตน กับบท มิอา โดแลน จาก La La Land
เอ็มมา สโตน กับบท มิอา โดแลน จาก La La Land
แม้ว่า La La Land จะไม่ใช่หนังที่สร้างชื่อให้กับ เอ็มมา สโตน เพราะก่อนหน้าเรื่องนี้ เอ็มมาก็มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงกว้างมาก่อนแล้วจาก Zombieland, The Amazing Spider-Man ทั้ง 2 ภาค และ Gangster Squad แต่ La La Land คือหนังที่ส่งเธอไปสู่จุดสูงสุดในอาชีพการแสดง ทำให้เธอคว้าออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงมาได้ ด้านรายได้ หนังยังทำเงินแบบถล่มทลายด้วยรายรับ 447 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างเพียงแค่ 30 ล้านเหรียญ เธอยังได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากจากคนดูและนักวิจารณ์ถึงความสามารถทั้งด้านร้องและเต้นของเธอ
แต่รู้ไหมครับว่าแรกเริ่มเดิมทีตอนที่ผู้กำกับ แดเมียน ชาเซลล์ มาทาบทามให้รับบทเป็น มิอา โดแลน นั้น เธอเคยบอกปฏิเสธบทนี้มาแล้ว ส่วนเหตุผลของเธอนั้นก็ฟังขึ้นเสียด้วย เพราะในช่วงนั้น เอ็มมาเธอรับบทนำในละครเวทีเรื่อง Cabaret ซึ่งละครเวทีนั้นต้องแสดงซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้กี่รอบ ทำให้เอ็มมารู้สึกเพลียมาก ร่างกายก็อ่อนเพลียจากการเต้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ส่วนสภาพจิตที่ต้องฟังเพลงเดิมเป็นร้อย ๆ รอบ ทำให้เธอเบื่อละครเพลงเข้าขั้นสุด
“เสียงฉันหายไปแล้วตอนนั้น แต่ฉันก็ยังต้องพยายามดิ้นรนแสดงจนจบให้ได้ แล้วเรื่องที่จะให้ฉันไปแสดงหนังเพลงอีกน่ะเหรอ ถ้าฉันรับงานแปลว่าฉันเสียสติไปแล้วแน่ ๆ หลังจากจบ Cabaret ฉันปฏิญาณเลยว่าฉันจะไม่ขอร้องและเต้นอีกแล้ว”
ถึงแม้ว่าเอ็มมาจะยืนกรานเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่ผู้กำกับแดเมียน ชาเซลล์ ก็ไม่ใช่คนยอมแพ้อะไรง่าย ๆ เขาติดต่อขอพูดคุยกับเอ็มมา อีกสักรอบ ครั้งนี้แดเมียนเอาเพลงที่จะใช้ในหนังมาเปิดให้เอ็มมาฟังด้วย ระหว่างที่เปิดเพลงไป เขาก็อธิบายภาพที่จะถ่ายในแต่ละฉากไปด้วย กลายเป็นว่าไอเดียการนำเสนอของแดเมียนครั้งนี้ได้ผล เอ็มมาอินตามภาพที่เขาบรรยายแล้วตอบตกลงในที่สุด แล้วเราก็ได้เห็นว่า La La Land มีผลต่อเส้นทางอาชีพการแสดงของเธอเพียงใด ถ้าเธอปฏิเสธไปจริง ๆ บอกไม่ถูกเลยว่าเธอจะต้องเสียใจถ้าพลาดโอกาสนี้ขนาดไหน
บรี ลาร์สัน กับบท แครอล เดนเวอร์ส ใน Captain Marvel
บรี ลาร์สัน กับบท แครอล เดนเวอร์ส ใน Captain Marvel
บรี ลาร์สัน เป็นนักแสดงอีกคนหนึ่งที่มาจากสายรางวัล และซีเรียสจริงจังกับงานแสดงขายฝีมือ จากหลาย ๆ คนที่เล่ามาก่อนหน้านี้ อย่าง เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ และ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ที่มาจากสายขายฝีมือการแสดง มักจะลังเลใจที่จะรับงานแสดงในหนังเมนสตรีม หรือหนังที่หวังผลทางการตลาด บรี ลาร์สัน เองก็เช่นกัน เธอมาจากสายหนังอินดี้ แล้วเธอก็ประสบความสำเร็จกับ Room หนังที่ส่งให้เธอคว้าออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงมาได้สำเร็จ ซึ่งเธอบอกว่าพึงพอใจมาก ๆ กับงานแสดงในแนวนี้ เธอชอบแสดงในหนังดราม่า และบทบาทที่มีความเป็นส่วนตัวสูง
หลังประสบความสำเร็จจาก Room เธอก็ได้รับการติดต่อจากมาร์เวลให้มารับบทเป็น แครอล เดนเวอร์ส หรือฉายา Captain Marvel แน่นอนว่าเธอไม่ได้ตอบรับในทันที แต่เก็บเอามาพิจารณาอยู่หลายเดือนก่อนที่จะตอบรับไป ด้วยเหตุผลที่ว่า หนังบล็อกบัสเตอร์นั้นแตกต่างจากแนวทางที่เธอชอบอย่างมาก
“ฉันไม่เคยจินตนาการตัวเองอยู่ในหนังแบบนี้มาก่อนเลย สาเหตุหลัก ๆ ก็เพราะฉันพอใจที่จะเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จักเสียมากกว่า เวลารับบทไหนฉันมักจะปล่อยตัวเองให้ถูกกลืนหายไปในบทบาทนั้น ๆ ตอนนี้ฉันรู้สึกได้ว่าฉันอยู่ในสายตาของผู้คนมากเกินไปแล้ว ซึ่งมันอาจจะจำกัดขอบเขตการแสดงของฉันในอนาคต”
ส่วนสาเหตุที่ทำให้เธอเปลี่ยนใจมายอมรับบทบาท แครอล เดนเวอร์ส นั่นก็เพราะเธอได้ลองสวมชุด Captain Marvel แล้วรู้สึกว่าเธอได้มีโอกาสลองทิศทางการแสดงใหม่ ๆ
“มันเป็นบทบาทที่มีพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ เธอสามารถพูดสิ่งที่เธอรู้สึกและสิ่งที่เธอคิดออกมาได้หมด โดยไม่ยอมให้ใครมาขัดขวางหนทางของเธอ”
แล้ว บรี ลาร์สัน ก็แสดงให้เห็นว่าเธอคือตัวเลือกที่เหมาะสม เธอเป็นนักแสดงที่มีพรสวรรค์ แล้วเธอก็นำความสามารถนั้นมาหล่อหลอมเข้ากับบทบาท แครอล เดนเวอร์ส ซึ่งเธอก็ถ่ายทอดให้เรารู้สึกถึงพลังอันน่าเกรงขามของ Captain Marvel ออกมาได้จริง