ตะลึงเมื่อ "สตีฟ เทรวอร์" กลับมาใน Wonder Woman 1984

ตะลึงเมื่อ "สตีฟ เทรวอร์" กลับมาใน Wonder Woman 1984

ตะลึงเมื่อ "สตีฟ เทรวอร์" กลับมาใน Wonder Woman 1984
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

บทความนี้มีการเปิดเผยรายละเอียดของหนัง Wonder Woman ภาคแรก หากยังไม่เคยชมรบกวนปิดบทความนี้ไปก่อนอ่าน เราเตือนคุณแล้ว

สตีฟ เทรวอร์ รักแรกของวันเดอร์วูแมน

หากย้อนกลับไปในหนัง Wonder Woman ภาคแรก เราจะพบว่าจุดพลิกผันของเรื่องราวในตอนท้ายคือการที่วันเดอร์วูแมนต้องรู้สึกสูญเสียสตีฟ เทรเวอร์ไปตลอดกาล หลังจากที่ไดอาน่าได้พบกับสตีฟเป็นครั้งแรกเพราะเครื่องบินของเขาตกลงมาในอาณาจักรอเมซอน ก่อนที่เธอจะติดตามเขาออกมาผจญภัยในโลกมนุษย์และค้นพบกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆที่เธอไม่เคยพบพานมาก่อน และนั่นรวมไปถึงความรู้สึกที่เธอได้สัมผัสกับ “ความรัก” เป็นครั้งแรก

กาลเวลาที่เปลี่ยนผ่านทำให้ไดอาน่าต้องแฝงตัวอยู่ท่ามกลางสังคมมนุษย์ ความอ่อนแอที่เธอได้สัมผัสคือความรักที่เธอมีให้แก่สตีฟ และต้องรู้สึกสูญเสียเขาไปตลอดกาล แต่ถึงอย่างนั้นความรู้สึกคิดถึงและโหยหาก็ยังอยู่ในใจของเธอไม่เคยเสื่อมคลาย อันที่จริงแล้วผู้กำกับอย่างแพตตี้ เจนกินส์เลือกจะเก็บงำการกลับมาของตัวละครนี้ไว้อย่างมิดชิด อย่างไรก็ตามการกลับมาของตัวละครนี้ก็มีนัยยะสำคัญเพื่อจะเติมเต็มองค์รวมของหนังภาคนี้ให้มีความสมบูรณ์มากขึ้นอย่างไม่มีข้อแม้ ซึ่งอันที่จริงแล้วตัวกัลและคริส นั้นทั้งสองคนรู้กันอยู่แล้วระหว่างถ่ายทำหนังภาคแรกว่าถ้าหากมีการสร้างหนังภาค 2 ออกมาจริงๆพวกเขาจะต้องเจออะไรบ้าง

คริส ไพน์กลับมารับบทบาทสตีฟ เทรเวอร์ อีกครั้งและเขายังกล่าวว่า “แพตตี้รู้ว่าเธออยากให้สตีฟกลับมาในรูปแบบไหน เธอเป็นคนเล่าเรื่องที่เก่ง วาดภาพให้เห็นได้ชัดเจน มีจินตนาการสูงอยู่ในตัว ผมตื่นเต้นทันทีที่จะได้กลับมายังโลกที่เธอสร้างขึ้นมาอีกครั้ง แน่นนอว่ารวมถึงการร่วมงานกับกัลด้วย”

ถ้าหากว่าหนังภาคแรกคือการที่หนังพาผู้ชมไปสำรวจความรักที่แสนโรแมนติกระหว่างไดอาน่าและสตีฟ หนังภาคนี้จึงเบนทิศทางไปในเชิงการค้นหาคุณค่าของตัวละคร เรื่องบางเรื่องที่อาจจะดูธรรมดาแต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเต็มไปด้วยความซับซ้อน แม้คนเราจะรู้ดีว่าสิ่งไหนมีคุณค่าแค่ไหน ความจริงกับสิ่งที่เป็นอาจจะเชื่อมโยงกัน มนุษย์เราอาจจะมีความปรารถนาอยู่ในเบื้องลึกภายในจิตใจแต่ท้ายที่สุดแล้วเร่าจะไขว่คว้ามาในสิ่งที่เราต้องการได้จริงหรือเปล่า

แม้โลกความจริงของมนุษย์จะทำให้ไดอาน่าเชื่อว่า เธออาจจะไม่มีวันสมหวังในเรื่องที่เธอปรารถนาได้ จนกระทั่งวันหนึ่งเธอได้พบกับคนที่เธอรักอย่างสตีฟ เทรเวอร์อีกครั้งซึ่งเขาจากเธอไปเกือบ 70 ปีแล้ว แต่สตีฟยังไม่เคยพบการเปลี่ยนแปลงบนโลกในแบบที่เธอเจอ และตอนที่เขากลับมาอยู่ในชีวิตเธออีกครั้ง เขารู้สึกหลงใหลไปกับทุกสิ่งที่เขาเห็น โดยที่ไม่ทันตั้งตัวเลยว่าเขาข้ามเวลามาได้อย่างไรหลังจากเวลาผ่านไปเกือบ 7 ทศวรรษแล้ว แต่อย่างไรก็ตามความรู้สึกที่เขามีต่อไดอาน่ายังคงชัดเจน ไม่ต่างจากความรู้สึกของเธอที่มีต่อเขา จากนั้นความเศร้าที่เธอมีก็ได้จางหายไป

เสน่ห์ของหนังภาคนี้มีความแปลกใหม่มากสำหรับตัวละครอย่างสตีฟ เพราะถ้าหากภาคแรกคนที่ได้ทำความรู้จักกับโลกมนุษย์เป็นครั้งแรกคือไดอาน่า แต่ครั้งนี้ตัวละครอย่างสตีฟเองจะเป็นฝ่ายที่ได้ทำความรู้จักกับโลกใบใหม่ที่แสนกว้างใหญ่ไพศาลและเปลี่ยนแปลงไปในแบบที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน ซึ่งการได้เล่นบทบาทนี้ตัวคริส ไพน์เล่าว่า เหมือนเขาได้กลับไปเป็นเด็กในร่างผู้ใหญ่  หลังจากที่เขาเหน็ดเหนื่อยกับการต่อสู้ และได้เห็นการวางแผนที่ชั่วร้าย ครั้งนี้เขาจึงต้องทำตัวหวาดกลัวและเบื่อหน่ายกับสรรพสิ่งบนโลกนี้ราวกับว่าเขาได้เดินทางมาถึงจุดสูงสุดของความเป็นมนุษย์แล้ว

ช่วงเวลาที่ก้าวกระโดดเปลี่ยนแปลงจากยุคสมัย 1918 มาจนถึงปี 1984 ความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีได้ทำให้ตัวละครสตีฟเกิดความสับสนงงงวยได้อย่างไม่ยากเย็น ดังนั้นมุมมองของตัวละครสตีฟจึงต้องอาศัยเสน่ห์และทักษะการแสดงของคริส ไพน์ที่เล่นมุกตลกหน้าตายกับสถานการณ์ต่างๆได้อีกด้วย

คริส ไพน์รู้สึกดีใจที่ได้กลับมาร่วมงานกับทีมผู้สร้างชุดเดิม ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงการพบกาโดต์อีกครั้งด้วย “มันเหมือนการได้กลับบ้านอีกครั้ง ได้ร่วมงานกับคนที่เราชื่นชอบมาก และผมได้เรียนรู้จากที่ผ่านมาว่าเคมีคือเรื่องที่ยากจะสร้างขึ้นมาหลอกๆ ได้ มันเลยเป็นเรื่องดีมากที่ผมได้มาร่วมงานในที่ๆ ผมมีความรู้สึกดีๆ อยู่แล้ว กัลป์เป็นคนที่ใจกว้างมาก เธอมอบความอบอุ่นและรอยยิ้มของเธอเหมือนแสงสว่างที่ส่องประกายทั้งห้อง สิ่งที่ดีที่สุดคือเรามีความสุขและได้หัวเราะ นั่นคือสิ่งที่ผมรักในการทำงานร่วมกับแพทตี้และกัลครับ”

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook