ITO หนังญี่ปุ่นจากเพลงดังที่จะทำให้คุณกลับไปคิดถึงรักครั้งแรก
เป็นไปได้ไหมเมื่อรักครั้งแรก อาจจะเป็นรักครั้งสุดท้าย
เรื่องราวของ เร็น(มาซากิ สุดะ)และอาโออิ(นานะ โคมัตสึ)ที่เกิดต้นรัชสมัยเฮย์เซย์ ทั้งสองคนที่เคยคิดเห็นไม่ตรงกัน ต้องพลัดพรากจากกันไปไกล เพื่อเลือกทางเดินให้กับชีวิตของตนเอง ทว่าเส้นด้ายแห่งปาฏิหาริย์ได้ชักนำให้พวกเขาได้กลับมาพบกันอีกครั้งในช่วงปลายรัชสมัย
นี่คือเรื่องเรื่องราวความรักอันยิ่งใหญ่ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของชายหญิงที่โชคชะตาลิขิตให้ต้องพรากจากกันแต่ในที่สุดก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้งในช่วงเปลี่ยนผ่านรัชสมัย
จากบทเพลงฮิตสู่ภาพยนตร์
ในอดีตเคยมีเพลงดังจากยุคเฮย์เซย์หลายเพลงที่ได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์ที่ตราตรึงใจ ไม่ว่าจะเป็นเพลง 涙そうそう(Nada Sousou) ที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อเดียวกับเพลงในปี2006 และ เพลง ハナミズキ (Hanamizuki) ในปี2010ล่าสุดนี้ในปี2020 ก็ถึงคิวของเพลง 糸 (Ito) ของมิยูกิ นากาจิม่า อัญมณีล้ำค่าแห่งยุคเฮย์เซย์ที่จะมาเป็นชื่อไตเติ้ลของภาพยนตร์
“Ito”คือเพลงที่อยู่ในซิงเกิ้ลที่ 35 ที่แต่งขึ้นในรัชสมัยเฮย์เซย์ที่ 10 (1998) โดยมิยูกิ นากาจิม่า ซึ่งเป็นทั้งนักร้องและนักแต่งเพลง เดิมทีคุณมิยูกิได้ทำเพลงนี้ขึ้นมาเพื่ออวยพรแก่คู่บ่าวสาวที่รู้จักโดยมีเนื้อหาที่เน้นถึงสายใยความรักและปาฏิหาริย์แห่งการพบเจอของคนที่ผูกกันด้วยเส้นด้ายแห่งบุพเพสันนิวาสต่อมาเพลงนี้ ได้กลายเป็นเพลงดังที่ถูกนำมาประกอบละครและโฆษณาหลายชิ้นรวมถึงเป็นเพลงที่คนญี่ปุ่นมักจะเลือกร้องในช่วงที่คาราโอเกะได้รับความนิยมสุดขีด
ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานถึง20 ปีจนเข้าสู่ยุคเรวะความนิยมของเพลงนี้ไม่ได้ถดถอยลงไปแต่อย่างใด แต่กลับครองสถิติ “เพลงอันดับ1 ที่คนเลือกร้องมากที่สุดในคาราโอเกะ”โดย JASRAC ระหว่างปี 2016-2018 ถึง 3 ปีซ้อนทางด้านแฟนเพลงที่เป็นนักดนตรีก็ไม่เคยลดลงโดยตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน มีศิลปินที่นำเพลงนี้มาร้องใหม่ในฉบับตนเองมากกว่า120 กลุ่มเข้าไปแล้ว
ความรักที่แสนยิ่งใหญ่กับหลายโลเคชั่น
จากบทเพลงที่ว่าด้วย “ปาฏิหาริย์แห่งการพบเจอ” คือเรื่องราวความรักอันยิ่งใหญ่ของชายหญิงที่เกิดต้นยุคเฮย์เซย์นับตั้งแต่อดีตจนถึงช่วงเปลี่ยนผ่านรัชสมัยความน่าสนใจอยู่ที่สถานที่ถ่ายทำที่ทางทีมงานยกกองกันไปถ่ายถึง 4 เมืองทั้งในฮอกไกโด, โตเกียว, โอกินาว่า และสิงคโปร์ ตามเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในเนื้อเรื่อง
สำหรับคู่พระนางที่เป็นชาวบ้านธรรมดาที่พบเจอได้ทั่วไปทั้งสองได้เลือกใช้ชื่อ“เร็น”และ“อาโออิ”ที่คนนิยมนำมาตั้งเป็นชื่อจริงในยุคเฮย์เซย์โดยมีแก่นของเรื่องคือ“สองเรื่องราวภายใต้ท้องฟ้าที่แสนห่างไกล” ของเร็นและอาโออิที่เปรียบเหมือน“เส้นด้าย” ที่ถูกทอเข้าด้วยกันจนเกิดเป็น“ผ้าผืนหนึ่งที่สักวันอาจช่วยรักษาแผลใจให้กับใครบางคน” นั่นเอง
เพื่อให้ได้เรื่องราวที่ใกล้เคียงกับเนื้อเพลงมากที่สุดทางโปรดิวเซอร์จึงให้ความสำคัญกับการสอดแทรกแนวโน้มทางสังคมที่เกิดขึ้นในยุคเฮย์เซย์ยกตัวอย่างเช่นให้อาโออิทำอาชีพสาวบาร์และช่างทำเล็บซึ่งเป็นอาชีพยอดนิยมในสมัยนั้นและให้ตัวละครที่ชื่อมิซุชิมะเป็นประธานหนุ่มในยุคเฮย์เซย์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นยุคเงินๆทองๆที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดวิกฤตทางการเงินปี2008 และเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในโตเกียวทำให้ตัวละครต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆที่ประดังเข้ามาในชีวิตอาจมีบ้างที่รู้สึกเจ็บปวดเศร้าโศกและท้อแท้สิ้นหวังแต่ก็ต้องพยายามใช้ชีวิตโดยมองโลกในแง่ดีและแสวงหา“ความสุข”ให้กับตนเอง
หนังเรื่องนี้จึงมีหลายรสชาติทั้งการพบเจอและพลัดพรากของตัวละครที่มีทั้งสุขและเศร้าในคราวเดียวกัน เพราะชีวิตคนเราก็เปรียบเสมือนเส้นด้ายแต่ละเส้นที่แยกออกจากกันแต่ท้ายที่สุดก็จะกลับมาเชื่อมโยงกันด้วยอะไรบางอย่างสุดท้ายจะโยงเข้ากับอะไรก็คงเป็นสิ่งที่คนเราเรียกมันว่าความสุขผมเลยอยากสร้างหนังที่่ถ่ายทอดเรื่องราวของคนที่พยายามอย่างหนักในแต่ละวันเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา
สองพระนางที่จะมาพรากน้ำตาจากคุณ
มาซากิ สุดะรับบทเป็นเร็น ทากาฮาชิ
เร็นเกิดและเติบโตที่เมืองคามิฟุราโนะจังหวัดฮอกไกโดโชคชะตาลิขิตให้เขาได้พบกับอาโออิตอนอายุ 13 แต่แล้วก็ต้องพรากจากกัน หลังเรียนจบระดับมัธยมปลายก็ได้ทำงานในโรงงานผลิตชีสแถวบ้านเกิดที่ตั้งอยู่ในเมืองบิเอย์
นานะ โคมัตสึรับบทเป็นอาโออิ โซโนดะ
เกิดและโตที่เมืองบิเอย์จังหวัดฮอกไกโด เจอกับเร็นตอนอายุ13 ปีแต่ต้องย้ายไปอยู่โตเกียวเนื่องจากเหตุผลทางครอบครัว อาโออิตั้งใจที่จะหาเลี้ยงตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาพ่อแม่แต่ทว่าก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น