LUPIN ซีรีส์จารกรรมเหนือเมฆ แรงบันดาลใจจากวรรณกรรมอมตะสู่จอมโจรผิวสี

LUPIN ซีรีส์จารกรรมเหนือเมฆ แรงบันดาลใจจากวรรณกรรมอมตะสู่จอมโจรผิวสี

LUPIN ซีรีส์จารกรรมเหนือเมฆ แรงบันดาลใจจากวรรณกรรมอมตะสู่จอมโจรผิวสี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 

หลังจากที่ปล่อยสตรีมมิ่งไปเมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา ไม่กี่วันที่ผ่านมา Lupin ก็ติดอันดับซีรีส์ยอดนิยมทาง Netflix ในประเทศไทยอย่างรวดเร็ว ซีรีส์นี้จะฉาย Part แรกก่อนมีความยาวทั้งสิ้น 5 ตอนด้วยกัน โดยความยาวแต่ละตอนนั้นตกอยู่ที่ประมาณ 50-58 นาที สำหรับ Lupin นั้นได้อิซาเบล ดีจอร์จมารับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ และสำหรับ 3 ตอนแรกนั้นยังได้ผู้กำกับอย่างหลุยส์ เลเทอร์ริเย่ ผู้กำกับจาก The Transporter และ Now You See Me มาดูแล

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในซีรีส์ตามติดชีวิตของอัสซาน (โอมาร์ ไซ) ผู้วางแผนจะทำการจารกรรมสร้อยเพชรของสมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส ซึ่งจะจัดการทำการประมูลเพื่อขายสู่ท้องตลาด โดยงานดังกล่าวจะถูกจัดขึ้นในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ประเทศฝรั่งเศส

อันที่จริงวิธีการเริ่มต้นซีรีส์นั้น เรียกว่าได้ว่าในตอนแรกถ้าหากใครไม่เคยอ่านเรื่องย่อมาก่อน วิธีการเปิดตัวอัสซานในฐานะจอมโจร ถือว่าทำได้เหนือชั้น เพราะซีรีส์เลือกจะเล่าเรื่องตัวละครนี้ในฐานะของชายเก็บขยะที่ดูเหมือนจะมีปัญหาด้านการเงิน ทำให้เขาต้องไปทำข้อตกลงกับมาเฟียท้องถิ่นเพื่อร่วมทีมเฉพาะกิจในการวางแผนเข้าไปจารกรรมสร้อยเพชร

แม้จะดูไม่ค่อยสมจริงนัก ว่าในฐานะของคนเก็บขยะจะคิดแผนการซับซ้อนอะไรปานนั้น ในการเข้าไปสังเกตมุมกล้องวงจรปิด ดูตำแหน่งของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย การปรับเปลี่ยนกะ หรือเส้นทางการเข้าออกของพนักงาน เมื่อเราเริ่มฉุกคิดได้ว่าบางทีนี่อาจจะเป็นแผนซ้อนแผนอีกที ก็ทำให้ตรรกะของซีรีส์สมเหตุสมผลขึ้น

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นใน EP แรกนั้นจึงถูกนำเสนอในรูปแบบหนังโจรกรรม ปล้นเพชรแบบตามที่เราเคยได้ดูกันอาทิ Ocean's Eight แต่ในเวอร์ชั่นที่สเกลเล็กกว่า เล่นง่ายกว่าและไม่มีอะไรซับซ้อนตามประสาซีรีส์ที่สร้างขึ้นเพื่อฉายทางทีวี ซึ่งถือได้ว่าเป็นตอน Pilot ที่เปิดเรื่องมาได้สนุกและอยากให้คนดูติดตามต่อ (ซีรีส์แอ็คชั่น ถ้าทำตอนแรกไม่สนุกโอกาสที่คนจะเลิกดูต่อนั้นมีสูงมาก)

ก่อนที่ซีรีส์จะเลือกเฉลยในตอนท้ายของ EP แรกว่าจริงๆแล้วอัสซานนั้นได้วางแผนการปล้นเพชรครั้งนี้ เพราะจริงๆแล้วเขาต้องการจะสืบหาความจริงเกี่ยวกับการตายของพ่อตัวเอง ซึ่งในอดีตนั้น พ่อของเขาโดนใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็นคนขโมยสร้อยเพชรนี้ไป หลังจากพ่อเขาถูกจำคุก ไม่นานนักพ่อของเขาก็ผูกคอตายในเรือนจำอย่างปริศนา ดังนั้นใน EP2 เป็นต้นมา ภารกิจของอัสซานจึงเป็นมากกว่าแค่การจารกรรม แต่เป็นการแฝงตัวเข้าไปสืบหาความจริงเกี่ยวกับหลักฐานที่น่าจะเชื่อมโยงไปสู่คำตอบที่เขาต้องการ

แน่นอนว่า Lupin ในเวอร์ชั่นนี้เป็นการอ้างอิงวรรณกรรมเรื่องดังของมัวริซ เลอบลองก์ ในปี 1905 ที่เล่าเรื่องราวของจอมโจรลูแปง ซึ่งงานเขียนชิ้นนี้ถือว่าเป็นผลงานในระดับตำนานเลยก็ว่าได้ เนื่องจากมีการดัดแปลงไปเป็นงานในหลากหลายรูปแบบตั้งแต่ภาพยนตร์ ซีรีส์ ละครเวที แถมยังสร้างอิทธิพลให้กับวงการวรรณกรรมทั่วโลก กระทั่งวงการแอนิเมะ มังงะญี่ปุ่นก็ยังมี Lupin the 3rd หรือกระทั่งตัวละครอย่างจอมโจรคิดใน โคนันก็ล้วนแล้วแต่ได้รับอิทธิพลมาจากจอมโจรชื่อกระฉ่อนคนนี้เช่นเดียวกัน

การดัดแปลงเรื่องราวของวรรณกรรม Lupin สู่ซีรีส์ Lupin ยังเป็นการตีความใหม่จากเอกลักษณ์เฉพาะตัวของจอมโจรลูแปง ผู้ที่ไม่เคยถูกจับได้เสียที เขาจึงสามารถจะเป็นใครก็ได้ในโลกใบนี้และไม่มีความจำเป็นจะต้องชื่อลูแปง อัสซานจึงมีความสามารถในการปลอมตัว ผนวกกับการใช้ไหวพริบในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์คับขันได้อยู่เสมอ และด้วยความโมเดิร์น ตัวเอกจึงกลายเป็นคนผิวสีด้วย

ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าซีรีส์อย่าง Lupin จะไม่มีจุดบอด เพราะในหลายครั้ง สำหรับตัวผู้เขียนเองก็ยังมองว่ามีหลายจุดในเรื่องที่คลี่คลายง่ายๆหรือดูไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ ยกตัวอย่างใน EPแรก ที่อัสซานเลือกจะปลอมตัวเป็นนักธุรกิจเพื่อเข้าไปนั่งประมูลสร้อยคอ ซึ่งหลังจากที่เขาแก้ไขโปรไฟล์ในอินเตอร์เน็ต เขาก็ใช้เว็บไซต์อย่าง Wikipedia ในการแก้ไขจำนวนสินทรัพย์และรูปถ่าย ในการปลอมแปลงเป็นคนอื่น ซึ่งทางฝั่งผู้จัดงานเองก็สะเพร่า (แบบที่บทเขียนจงใจ) ในการตรวจสอบข้อมูลของผู้เข้าร่วมงานด้วยการเปิดเว็บไซต์นี้เช่นกัน ซึ่งถ้าใครมีความรู้ก็จะต้องบอกว่า Wikipedia นั้นเป็นเว็บไซต์ที่ใครก็สามารถเข้าไปแก้ไข เขียนเปลี่ยนแปลงข้อมูลยังไงก็ได้ (แล้วความน่าเชื่อถืออยู่ตรงไหน?) หรือทำไมวิธีการเชิญคนเข้าร่วมงานจึงดูไม่ค่อยมีความรัดกุม ระบบความปลอดภัยก็ดูชุ่ยเอาซะเหลือเกิน หรือบางครั้งวิธีการปลอมตัวของอัสซานก็ดูสุ่มเสี่ยงต่อการจับได้ง่ายๆ แต่ทำไมตำรวจก็ดูไร้ชั้นเชิง ไร้ประสิทธิภาพในการตามจับตัวเอก จนดูเหมือนเป็นมวยคนละรุ่น

อย่างไรก็ตามปริศนาทั้งหมดก็ยังไม่ได้คลี่คลาย เนื่องจากเรื่องราวใน Part 1 ก็ยังคาราคาซังไว้เหมือนในทุกๆ ซีรีส์ที่กลางซีซั่นจะต้องมีปมใหม่งอกตามขึ้นมา พร้อมกับปมเก่าที่ยังคลายไม่สนิท เราก็คงได้แต่รอว่าเมื่อไหร่ Part 2 จะตามออกมา แต่คาดว่าคงอีกไม่นานเกินรอ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook