รีวิว Outside the wire ภารกิจ "สร้างจิตสำนึก"
Outside the wire เป็นผลงานการกำกับของ มิคาเอล ฮาฟสตรอม ผู้กำกับชาวสวีเดนที่มีผลงานหนังสยองขวัญระทึกขวัญอย่าง 1408 และ หนังแอ็คชั่น Escape Plan
ฉากหลังของ Outside the wire เกิดขึ้นในอนาคตปี 2036 ซึ่งเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในยุโรปตะวันออกและกองทัพสหรัฐฯ ได้เข้าไปปักหลักในการคลี่คลายสถานการณ์ โดยมีการใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์เอไอ เพื่อทำงานร่วมกับทหารที่เป็นมนุษย์จริงๆในการดูแลความปลอดภัยทางภาคพื้นดิน ส่วนทางอากาศก็ใช้โดรนเพื่อจัดการศัตรูในมุมสูง
หนังโฟกัสไปที่เรื่องราวของฮาร์ป (แดมสัน ไอดริส) นายทหารควบคุมโดรน ผู้ตัดสินใจขัดคำสั่งยิงระเบิดเพื่อฆ่าศัตรูฝั่งตรงข้าม โดยไม่สนใจว่าเหล่าทหารในฝั่งของตัวเองที่ยังคงติดอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวจำนวน 2 คนอาจจะต้องสละชีวิตไป แต่ดูเหมือนฮาร์ปเองก็ไม่ได้สนใจอะไรถึงสิ่งที่เขาทำ เพราะเขามองว่านั่นคือการเสียส่วนน้อยเพื่อรักษาชีวิตคนส่วนมาก จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ฮาร์ปถูกส่งตัวไปทำภารกิจในแนวหน้าร่วมกับผู้กองลีโอ (แอนโธนี่ แม็คกี้)
ก่อนออกเดินทางฮาร์ปจึงได้ทราบความจริงของผู้กองลีโอว่า แท้จริงแล้วเขาเป็นหุ่นแอนดรอยด์และทั้งสองต้องออกเดินทางเพื่อนำวัคซีนไปให้ยังคลินิกที่อยู่ในวงล้อมการโจมตีของศัตรู ซึ่งมีผู้ก่อการร้ายอย่างวิคเตอร์ โควาลที่กำลังวางแผนจะนำหัวจุดระเบิดนิวเคลียร์ไปทำลายล้างโลก ทำให้ทั้งสองคนต้องฝ่าวงล้อมและเอาตอดรอดจากทั้งเหล่ากบฏในพื้นที่ การถูกซุ่มยิง ฯลฯ
ดูเหมือนว่าเส้นเรื่องหลัก Outside the wire จะเป็นหนังสไตล์คู่หูที่ต้องจับมือกันเพื่อปฏิบัติภารกิจ แต่ระหว่างทางหนังก็ พยายามเผยให้เห็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของผู้กองลีโอ ว่าบางทีเขาก็อาจจะไม่ได้เป็นหุ่นแอนดรอยด์ธรรมดาๆ แต่มีความรู้สึกนึกคิดไม่ต่างอะไรจากมนุษย์
ตัวหนังเองไม่ได้เน้นความโครมครามแบบพร่ำเพรื่อ แต่สถานการณ์ต่างๆที่ถูกโยนเข้ามาให้ทั้งสองต้องเผชิญหน้าร่วมกันนั้นเป็นวิธีการทำให้ตัวละครได้เรียนรู้ในวิถีและแนวคิดของฝ่ายตรงข้าม อีกทั้งยังมีมุมมองของตัวละครอื่นๆ อาทิ โซฟิย่า (เอมิลี่ บีแชม) หญิงสาวในเขตพื้นที่ปลอดภัยที่คอยให้ความช่วยเหลือสนับสนุนกับลีโอ ซึ่งพยายามอธิบายให้ฮาร์บเข้าใจว่าในมุมมองของคนพื้นที่จริงนั้น รู้สึกอย่างไรกับการกระทำของกองทัพสหรัฐฯ
ท้ายที่สุดแล้ว Outside the wire เหมือนต้องการจะสะท้อนความจริงของโลกปัจจุบันผ่านสถานการณ์ในหนัง แต่ประเด็นเหล่านี้ก็เคยถูกนำเสนอในหนังสงครามมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน จึงทำให้ประเด็นที่เกิดขึ้นไม่ได้น่าสนใจ หรือชวนตกผลึกมากนัก แต่ถ้ามองหนังเรื่องนี้ในฐานะหนังที่สามารถเปิดดูได้ทางทีวีที่บ้าน ก็ถือว่าคุณภาพไม่ได้เลวร้ายแต่อย่างใด พอดูได้แก้เบื่อ และตอกย้ำประเด็นที่ว่า คนบางคน “ไม่เห็นโลงศพด้วยตัวเองอาจจะไม่ได้หลั่งน้ำตา” ก็เป็นได้