The Dig ประวัติศาตร์ของความรู้สึก โดย ก้อง ฤทธิ์ดี

The Dig ประวัติศาตร์ของความรู้สึก โดย ก้อง ฤทธิ์ดี

The Dig ประวัติศาตร์ของความรู้สึก โดย ก้อง ฤทธิ์ดี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ดาราอังกฤษ เรฟ ไฟนส์ สร้างชื่อจากการเล่นละครในอังกฤษ ก่อนจะได้บทดี ๆ ในชีวิตการแสดงภาพยนตร์หลายเรื่องตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่บทนายทหารนาซีจอมโหดใน Schindler’s List บทคนไข้หนุ่มรูปงามใน The English Patient ที่ทำให้เขาโด่งดังในฮอลลีวูด บท โวลเดอร์มอร์ท ใน Harry Potter บทหัวหน้าของ 007 ใน Skyfall บทหนุ่มเจ้าสำราญใน A Bigger Splash บทสามีผู้โศกเศร้าใน The Constant Gardener รวมถึงบทตลกหลุด ๆ อย่างใน The Grand Budapest Hotel หรือบทอาชญากรเพี้ยนใน In Bruges ไม่ว่าจะเป็นนักดูหนังสายป๊อปหรือสายอาร์ทล้วนแต่ต้องคุ้นหน้าและชื่นชมฝีมือนักแสดงที่ผะแรกดูเหมือนจะเด่นด้วยรูปลักษณ์กายหยาบ แต่จริง ๆ แล้วไฟนส์เป็นนักแสดงที่พึ่งรูปร่างหน้าตาน้อยกว่าชั้นเชิงการแสดงและความเข้าใจในบทอย่างลึกซึ้ง

The DigThe Dig

ในหนังล่าสุดของเขาก็เช่น The Dig (ชมได้ใน Netflix) เป็นหนังดราม่าแบบโลว์คีย์ ละเมียดละไม ซ้อนทับด้วยอารมณ์ความรู้สึกหลายชั้น ซาบซึ้ง กินใจ โดยไม่มีความโฉ่งฉ่างในการแสดงออกใด ๆ เรื่องราวอิงจากเรื่องจริงในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ในชนบทแถบซัฟโฟล์คของอังกฤษ เรฟ ไฟนส์ แสดงเป็น เบซิล บราวน์ นักขุดค้นทางโบราณคดีสายบ้าน ๆ ที่รับงานขุดเนินเขาประหลาดในที่ดินของแม่ม่ายอมทุกข์ เอดิธ พริตตี้ (แสดงได้เด่นเช่นกันโดย แครี่ มัลลิแกน) และไปเจอเข้ากับซากเรือโบราณสมัยแองโกล-แซกซอน ที่ต่อมาถือว่าเป็นสมบัติทางโบราณคดีที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งของประวัติศาสตร์ยุโรป

เบซิล หรือตัวละครที่แสดงโดยไฟนส์ เป็นนักขุดสมัครเล่นที่ไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็น “นักโบราณคดี” คำซึ่งดูสูงส่งและคงแก่เรียน แต่เบซิลมองตัวเองเป็นเพียงชาวบ้านที่ผูกพันกับดิน หิน ทราย ในชนบทซัฟโฟล์ค อ่านชั้นดินชั้นหินออกจากประสบการณ์และการร่ำเรียนจากพ่อและปู่ที่เป็นนักขุดเช่นกัน ถ้าสมัยนี้ก็ต้องบอกว่าเบซิลเป็น ปราชญ์ชาวบ้าน เพราะเขามีความรู้เรื่องทั้งเรื่องผืนดินและท้องฟ้า ดวงดาวและดาราศาสตร์ โดยทั้งหมดเป็นการศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองโดยไม่ได้ไปฟังสอบเข้าอ๊อกซ์ฟอร์ด หรือเคมบริดจ์ แต่อย่างใด

เรฟ ไฟนส์ เป็นนักแสดงที่โดยธรรมชาติแล้วหน้าตาออกไปทางคนชั้นสูง ทั้งรูปหน้า สำเนียงการพูดจาและบุคลิก (หรือว่านั่นก็เป็น “การแสดง” ที่ทำให้เราเชื่อ) เพราะใน The Dig บทของเขาคือคนชั้นล่างที่มีความลุ่มลึกในศาสตร์ความรู้ สำเนียงการพูดต้องเหน่อ การวางตัวต่อหน้านายจ้างหญิงต้องดูอ่อนน้อม เป็นคนประเภทรู้ที่ทางของตัวเอง และเมื่อเจอกับ นักโบราณคดีตัวจริงจากพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติลอนดอน เบซิลก็ก้มหน้ายอมรับบทพระรองในโครงการขุดค้นที่ตัวเองเป็นผู้เริ่มต้น ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ไฟนส์ไม่ได้ “แสดง” ให้เบซิลดูเป็นชาวบ้าน ไม่ได้ “ดัด” สำเนียงพูดให้เหน่อ ตัวละครนี้ของเขาเนียนมากในการสวมบทเป็นชายวัยกลางคนที่รู้ตัวว่าสถานะชาติกำเนิดเป็นอย่างไร มีข้อจำกัดอย่างไร แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เย่อหยิ่งและองอาจพอในประสบการณ์และความรู้ของตัวเอง ลึกๆ เบซิลอาจจะฝันว่า ชีวิตเขาจะไปได้ไกลกว่านี้แค่ไหนหากเขามีโอกาสได้ร่ำเรียนและได้เป็น “นักโบราณคดี” ตามระบบระเบียบจริง ๆ

The DigThe Dig

ความสัมพันธ์ของเบซิลและเอดิธ เป็นความสวยงามที่ทำให้หนังเรืองรองด้วยแสงแห่งความหวัง มิตรภาพของทั้งสองคนเชื่อมโยงกันด้วยความลุ่มหลงในมนตราแห่งอดีต ในประวัติศาสตร์ที่ถูกฝังกลบใต้ดิน เป็นมิตรภาพที่เจืออยู่ลึก ๆ ด้วยความโศกเศร้า โหยหา อาจจะมีความเสน่หาอยู่ด้วย ส่วนหนึ่งเพราะตัวเอดิธเป็นแม่หม้ายที่เสียสามีและต้องเลี้ยงลูกชายคนเดียว และอีกส่วนหนึ่งคือการที่หนังบอกเราตลอดว่า สงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังจะปะทุขึ้น อดีตเรืองรองอันไกลโพ้นของมนุษยชาติที่เบซิลกำลังขุดค้น จะยังมีความหมายอันใดเล่าเมื่อมนุษย์กำลังเข้าสู่ภาวะประหัตประหาร เมื่อคนหนุ่มกำลังถูกส่งไปตายในสนามรบ ไม่ต่างอะไรกับซากศพจากพันปีก่อนที่ถูกทับถมอยู่ในสุสานที่กลายเป็นที่ดินของเอดิธ

ครึ่งหลังของ The Dig อาจจะเฉไฉออกนอกเรื่องระหว่างเบซิลกับเอดิธไปสักหน่อย เมื่อหนังเปิดตัวละครใหม่อีกสามตัว ได้แก่คู่สามีภรรยานักโบราณคดีจากลอนดอนที่มาร่วมขุดค้น (แสดงโดนเบน แชปลิน และ ลิลลี่ เจมส์) และญาติหนุ่มของเอดิธที่กำลังจะถูกเกณฑ์ไปเป็นนักบินรบ (จอห์นนี่ ฟลินน์) ประเด็นที่หนังเสริมเข้ามาในช่วงนี้ คือบทบาทของผู้หญิงในงานโบราณคดี งานที่ปกติยึดครองโดยผู้ชาย อีกทั้งยังแสดงช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อทางอารมณ์และความเปราะบางของประวัติศาสตร์เมื่อเงาทะมึนของสงครามแผ่ปกคลุมทุกสิ่ง

The Dig เหมาะกับคนที่ชอบหนังนิ่ง ๆ ลึก ๆ และละเอียดอ่อนในความรู้สึก คล้าย ๆ The English Patient (แต่ไม่ได้อลังการเท่า) หรือหนังพีเรียดตระกูล Merchant & Ivory การแสดงของสองดาราหลัก พาเราให้เฝ้าติดตามการเดินทางของมิตรภาพและความอ่อนไหวในใจของทั้งเบซิลและเอดิธ

ส่วนแง่มุมทางโบราณคดี มีเรื่องให้เล่ามากมาย คร่าว ๆ คือ หนังสร้างจากนิยายอิงประวัติศาสตร์ของจอห์น เพรสตัน ที่เล่าถึงการขุดค้นที่เรียกกันว่า Sutton Hoo ที่แถบซัฟโฟล์ค ที่มีการค้นพบซากเรือจากยุคกลางของยุโรป เก่าแก่กว่ายุคไวกิ้ง และนับเป็นความสำเร็จทางโบราณคดีครั้งสำคัญ ทั้งเบซิล บราวน์ และเอดิธ พริตตี้ มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์และมีส่วนสำคัญในการค้นพบครั้งนี้ ดู The Dig แล้วลองดูคลิปนี้ของ BBC Archive ที่มีเบซิล บราวน์ ตัวจริงออกมาเล่าให้ฟังถึงการขุดค้นของเขา 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook