4 ประเด็นเก็บตกหลังประกาศผู้เข้าชิงออสการ์ปีนี้ Oscar แห่ง "ความหลากหลาย" โดย ก้อง ฤทธิ์ดี
หลังจากป่าวร้อง ทำแคมเปญ สร้างกระแสความหลากหลายสไตล์อเมริกันมากหลายปี ในที่สุดปีนี้ รายชื่อผู้เข้าชิง รางวัลออสการ์ ก็หลากหลายทั้งเชื้อชาติ เพศ และศาสนา จนไม่น่าจะมีใครออกมาตำหนิอะไรได้อีก เพราะผู้เข้าชิงมีทั้งผู้กำกับหญิงถึงสองคน (โคลเอ จาว จาก Nomadland และ เอเมอรัลด์ เฟนเนล จาก Promising Young Woman) มีทั้งผู้กำกับเอเชียน –อเมริกัน (ลี ไอแซค ชุง จาก Minari) มีทั้งดารามุสลิมชิงดารานำ (ริซ อาห์เมด ดาราอังกฤษเชื้อสายปากีสถาน จาก Sound of Metal) มีทีมโปรดิวเซอร์ผิวดำทั้งหมดจาก Judah and the Black Messiah และมีทั้งดาราเอเชียน-อเมริกันคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้เข้าชิงรางวัลสาขาดารานำ (สตีเฟน หยวน จาก Minari)
ก่อนหน้านี้ ออสการ์ถูกตราหน้าว่า “ขาวเหลือเกิน” – #OscarSoWhite อย่างที่แฮชแท็กว่าไว้ – ประมาณว่า มีแต่ผู้ชายผิวขาวได้เข้าชิง ได้โหวต ได้อวยกันเอง ได้เสริมสร้างบารมีกันเอง ต่อเนื่องมานานหลายทศวรรษ และมืดบอดกับความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่อเมริกาโฆษณาว่าเป็นรากฐานของความรุ่มรวยของประเทศ ความพยายามทำให้ออสการ์เป็นงานที่ให้เกียรติคนทำหนังอันแตกต่างหลากหลาย เริ่มสำเร็จ (อย่างคาดไม่ถึง) เมื่อ Parasite ได้รางวัลหนังยอดเยี่ยมเมื่อปีที่แล้ว และโมเมนตัมยังคงต่อเนื่องมาจนถึงปีนี้อย่างที่เห็น
Mank ปลุกวิญญาณฮอลลีวูดคลาสสิค
ตอนออกฉายเสียงอาจจะแตก แต่กลายเป็นว่าหนังขาวดำเรื่อง Mank ของผู้กำกับเดวิด ฟินเชอร์ กลับเป็นหนังที่ได้เข้าชิงมากที่สุด ทั้งสิ้น 10 สาขา รวมทั้งหนังเยี่ยม ผู้กำกับเยี่ยม นักแสดงนำ ถ่ายภาพ ฯลฯ แต่ที่ไม่ได้เข้าชิงคือสาขาบท (ผู้เขียนเดาว่า Mank จะไม่ชนะเยอะ) จริง ๆ แล้วไม่น่าประหลาดใจที่ Mank ได้เข้าชิงเยอะขนาดนี้ เพราะนี่เป็น “หนังออสการ์” แบบแต่งตัวมาจากบ้านเลยว่าเป็นหนังรางวัล ทั้งเรื่องที่เลือกมาเล่า (เบื้องหลังการเขียนบทหนังเรื่อง Citizen Kane) ทั้งชื่อดารานำอย่างแกรี่ โอลด์แมน และจากความฮือฮาโดยรวม ๆ
ที่ผู้เขียนคิดว่าสำคัญที่สุดคือ นี่เป็นหนังไหว้ครูให้หนังฮอลลีวูดยุคคลาสสิคที่เอาเบื้องหลังของตำนานฮอลลีวูดมาเล่า เอาตัวละครคนสำคัญในวงการหนังฮอลลีวูดยุค 1940 มาอยู่บนจอ ถึงแม้นี่จะไม่ใช่หนังตลาดจ๋า เป็นหนังขาวดำที่ไม่ได้ดูง่ายนักโดยเฉพาะในหมู่คนดูรุ่นใหม่ แต่ออสการ์ชอบอะไรแบบนี้ คือชอบหนังที่พูดถึงตัวเอง แบบที่เรียกกันว่า Hollywood plays itself หรือหนังฮอลลีวูดที่เอาฮอลลีวูดมา “เล่น” มารำลึก หรือจะบอกมาว่าแฉก็ได้ เพราะสุดท้ายแล้วมันคือการเฉลิมฉลองความยิ่งใหญ่และการอยู่ยั่งยืนยงของมนตราแห่งภาพยนตร์อเมริกัน
Netflix เถลิงอำนาจ
ในปีแห่งโรคระบาด สตรีมมิ่งย่อมเถลิงอำนาจ เมื่อสตูดิโอใหญ่เพลี่ยงพล้ำเพราะเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง Netflix กลับทุ่มเงินสร้างหนังและร่วมงานกับผู้กำกับคนดังมากมาย และสุดท้ายได้เช้าชิงโดยรวมถึง 35 รางวัลออสการ์ ซึ่งมากกว่าทุกสตูดิโอ (ปีที่แล้วก็เยอะ คือได้เข้าชิง 24 รางวัล) แต่ไหนแต่ไรมา Netflix ต้องการยกสถานะตัวเองจาก “ผู้ให้บริการหนังออนไลน์” (ฟังดูดีกว่า “ร้านเช่าวีดีโอ” นิดเดียว) ให้ก้าวขึ้นเป็นสตูดิโอใหญ่เทียบเคียงระดับตำนานอย่าง Paramount, Warners, Sony, Disney, Universal ถึงตรงนี้คงต้องบอกว่า Netflix เกือบทำสำเร็จแล้ว เหลืออีกอุปสรรคเดียวที่ต้องข้ามให้ได้คือ ต้องได้รางวัลหนังยอดเยี่ยม Best Picture ถึงจะปิดคดีและชูคอขึ้นทัดเทียมสตูดิโอรุ่นเก่าได้
หนังสำคัญที่ทำให้ Netflix ครองตำแหน่งเข้าชิงสูงสุด คือ Mank และ The Trail of Chicago 7 (หนังว่าความในศาล และการประท้วงใหญ่ที่ชิคาโก) เรื่องแรกกำกับโดยเดวิด ฟินเชอร์ ซึ่งดูเหมือนจะถูกใจที่จะทำงานกับ Netflix เรื่องที่สองเป็นงานของอารอน ซอร์กิ้น อีกหนึง่มือเขียนบท-ผู้กำกับ คนสำคัญที่หันมาร่วมงานกับ Netflix
แต่ถึงกระนั้นผู้เขียนเชื่อว่า Netflix น่าจะแห้วอีกปี เพราะดูท่าทางตัวเต็งจะเป็น Nomadland (หนังของบริษัท Searchlight ในเครือ Disney) ซึ่งได้หลายรางวัลใหญ่มาก่อนหน้านี้
Oscar 25 เมษา ในแบบ New Normal
ทุกปีงานแจกรางวัล Oscar จะมีขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ แต่ปีที่ผ่านมาโรงหนังในอเมริกาส่วนใหญ่ต้องปิด (ตอนนี้ส่วนใหญ่ก็ยังไม่เปิด) หนังถูกเลื่อนฉายมากมาย ตารางชีวิตคนทำหนังและคนดูต่างถูกอำนาจไวรัสโคโรนาปั่นจนวุ่น ดังนั้นงานออสการ์ปีนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 25 เมษายน (หรือเช้าวันที่ 26 ตามเวลาไทย) ช้ากว่าปกติกว่า 2 เดือน และงานจะจัดขึ้น 2 ที่พร้อมกัน คือที่ตึก Union Station เพิ่มเติมจากที่เดิมคือ Dolby Studio ทำไมต้องมีสองที่พร้อมกัน ตรงนี้ข่าวจากอเมริกาก็ยังไม่ชัดเจน ส่วนคนที่จะมาร่วมงานได้ มีแค่ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงและแขกผู้ติดตามเท่านั้น จะไม่คึกคักเหมือนทุกปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน
ที่น่าดูอีกอย่างคือแฟชั่นพรมแดงในยุค Oscar New Normal ที่เคยเปิดคงต้องปิด ที่เคยปิดอาจจะต้องเปิดหรือเปล่า อีกเดือนกว่า ๆ รอดูกัน