เผยประวัติตัวละครลับใน Godzilla vs. Kong

  - หากคุณยังไม่ได้ชมภาพยนตร์ รบกวนปิดบทความนี้ก่อนนะครับ -

แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีแฟนคลับก็อดซิลล่าตาดี เพราะหลังจากที่ตัวอย่าง Godzilla vs. Kong ถูกปล่อยออกมา ก็มีคนเห็นว่ามีอยู่ฉากที่ผ่านตาประมาณเพียงเสี้ยววินาที ว่าฉากที่ฮ่องกงกำลังโดนถล่มจนราบเป็นหน้ากลอง แท้ที่จริงแล้วเป็นการโจมตีของเมกาก็อดซิลล่า หรือก็อดซิลล่าหุ่นยนต์ ซึ่งตัวละครนี้เป็นตัวละครที่เคยปรากฏตัวในประวัติศาสตร์หนังแฟรนไชนส์ก็อดซิลล่าของประเทศญี่ปุ่นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง

อย่างไรก็ตามตัวละครเมกาก็อดซิลล่าในเวอร์ชั่นล่าสุด นั้นบริษัทที่อยู่เบื้องหลังในการสร้างหุ่นยนต์ก็อดซิลล่านั้นคือ APEX Company ที่มีผู้บริหารอย่างวอลเตอร์ ซิมมอนส์ (เดเมียน บิเชอร์) ซึ่งเขาวางแผนในการนำซากของเหล่าไททันยักษ์มาทำการศึกษา เพื่อค้นหาขุมพลังของเหล่าสัตว์ยักษ์เหล่านี้เพื่อนำมาใช้งานในเชิงวิทยาศาสตร์ และเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างหุ่นยนต์ก็อดซิลล่าเพื่อไว้ต่อกรกับก็อดซิลล่าตัวจริง เพราะวอลเตอร์เชื่อว่ามนุษย์นั้นคู่ควรกับตำแหน่งสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร ไม่ใช่เหล่าไททันดึกดำบรรพ์พวกนี้

บริษัท APEX จึงวางแผนให้เหล่าทีมนักวิทยาศาสตร์จากโมนาร์ชที่มีโครงการจะพาคองกลับบ้าน ไปยังดินแดนที่เรียกว่าฮอลโลว์เอิร์ธ เพื่อนำพลังงานจากดินแดนใต้ผืนโลก เอามาใช้เป็นขุมพลังในการขับเคลื่อนเมกาก็อดซิลล่าให้ระบบเสถียรยิ่งขึ้น ซึ่งในหนังภาคนี้เมกาก็อดซิลล่านั้นใช้วิธีการเชื่อมต่อกับมนุษย์ เพื่อขับเคลื่อนหุ่นยนต์ โดยเร็น เซริซาว่า (ชุน โอกูริ) ลูกชายของดร.อิชิโร่ เซริซาว่าเป็นคนควบคุม

ด้วยความใจร้อนของวอลเตอร์ ซิมมอนส์ ที่อยากจะนำเมกาก็อดซิลล่าไปปะทะกับก็อดซิลล่า ทำให้เขาใช้พลังงานจากฮอลโลเอิร์ธโดยไม่มีการตรวจสอบพลังงานในห้องแล็บ ส่งผลให้พลังงานเกิดการลัดวงจร จนเมกาก็อดซิลล่าไม่สามารถควบคุมได้อีกและนำมาซึ่งความพินาศย่อยยับตามที่เราได้เห็นในเวอร์ชั่นนี้

อย่างไรก็ตามเมื่อเราย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของตัวละครเมกาก็อดซิลล่านั้น ตัวละครนี้เคยปรากฏตัวครั้งแรกใน Godzilla vs. Mechagodzilla (1974) อันเป็นผลงานการกำกับของ จุน ฟุกุเดะ ซึ่งเมกาก็อดซิลล่าในเวอร์ชั่นนี้เป็นการสร้างขึ้นของเหล่ามนุษย์ต่างดาวที่วางแผนอยากจะครอบครองโลก จึงส่งเมกาก็อดซิลล่าที่มีผิวหนังภายนอกไม่ต่างอะไรจากก็อดซิลล่าตัวจริงลงมาสร้างความวุ่นวายที่โลกมนุษย์ จนกระทั่งเมื่อผิวหนังจริงของมันเปิดเผยออกมาว่ามันคือหุ่นยนต์ที่ถูกสร้างขึ้นเลียนแบบก็อดซิลล่า และควบคุมโดยมนุษย์ต่างดาวที่หน้าตาคล้ายกับลิง

ด้วยความสำเร็จของหนังในปี 1974 สตูดิโออย่างโตโฮจึงเร่งดำเนินการสร้างภาคต่อตามออกมาในชื่อ Terror of  Mechagodzilla ตามมาในปี 1975 และนำตัวละครเมกาก็อดซิลล่ากลับมาอีกครั้งซึ่งเรื่องราวในหนังภาคนี้ก็เล่าต่อมาจากภาค Godzilla vs. Mechagodzilla ทันที โดยเมกาก็อดซิลล่าที่ถูกควบคุมโดยมนุษย์ต่างดาวก็ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะครอบครองโลก โดยนำเซลล์สมองของ คัทซึระ มาฟุแนะมาเชื่อมต่อกับเมกาก็อดซิลล่าจนเชื่อมต่อจิตใจถึงกัน เพื่อป้องกันไม่ให้มนุษย์หรือสิ่งใดก็ตามมาทำลายหุ่นยนต์ก็อดซิลล่าได้ นอกจากการใช้วิธีสังหารคัทซึระเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม Terror of  Mechagodzilla ไม่ค่อยประสบความสำเร็จนักในประเทศญี่ปุ่น จนทำให้ซีรีส์แฟรนชายส์ของหนังก็อดซิลล่าห่างหายไปจากจอหนังเกือบสิบปี

ในปี 1993 Godzilla vs. Mechagodzilla ถูกสร้างกลับมาขึ้นจออีกครั้ง โดยมีการเล่าเรื่องราวภายใต้บริบทและเนื้อหาใหม่ โดยฉากหลังของหนังเกิดขึ้นในปี 1992 ที่หน่วยงานอย่าง Unitted Nations Godzilla Countermeasures Center ซึ่งเป็นหน่วยงานที่องค์กรสหประชาชาติจัดตั้งขึ้นมาเพื่อรับมือกับก็อดซิลล่าโดยรวบรวมเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่เปี่ยมฝีมือมาสร้างหุ่นยนต์เมกาก็อดซิลล่าเพื่อเอาไว้เป็นอาวุธสำหรับฝ่ายมนุษย์ไว้รับมือกับก็อดซิลล่ายักษ์ ความพิเศษของเมกาก็อดซิลล่าในหนังภาคนี้คือมันมีการรวมร่างกับยานบินการูด้า จนกลายร่างเป็นซูเปอร์ เมกาก็อดซิลล่าที่มีอานุภาพในการทำลายล้างมากยิ่งขึ้น

ตัวละครเมกาก็อดซิลล่ากลับมาอีกครั้งในปี 2002 ภายในหนังชื่อ Godzilla against Mechagodzilla ซึ่งตัวละครเมกาก็อดซิลล่าได้รับการตีความใหม่ให้กลายเป็นหุ่นยนต์ไซบอร์กที่พัฒนามาจากซากกระดูกของราชันในชื่อคิริวที่เป็นตัวก็อดซิลล่าในหนังปี 1954 โดยพัฒนาไว้เพื่อรับมือกับก็อดซิลล่าตัวปัจจุบัน ซึ่งเจ้าหุ่นยนต์ตัวนี้จะมีพลังลำแสงพิฆาตอานุภาพมหาศาล แถมฤทธิ์ของเมกาก็อดซิลล่าภาคนี้ก็มีพลังงานเหลือล้นชนิดที่ถ้าหากพลังงานในตัวเองไม่หมดลง มันก็สามารถทำลายทุกอย่างให้ราบและพังพินาศเป็นหน้ากลอง

 จะเห็นได้ว่าเมกาก็อดซิลล่าในเวอร์ชั่นล่าสุดนี้มีการผสมผสานรายละเอียดเล็กๆน้อยมาจากหนังภาคก่อนๆของสตูดิโอโตโฮและใส่รายละเอียดที่น่าสนใจเข้าไปทดแทน แต่สิ่งที่น่าขันที่สุดคือเมกาก็อดซิลล่าในเวอร์ชั่นนี้ถูกโค่นลงด้วยการ “ราดน้ำลงแผงวงจร” (ไม่รู้ว่าควรเศร้าไหม 555)