รีวิว Love and Monster ภารกิจพิชิตรัก ฝ่าดงมอนสเตอร์
Love and Monster เล่าถึง เหตุการณ์อุกาบาตจะชนโลก ทางการจึงสั่งให้มีการยิงขีปนาอาวุธเพื่อหยุดยั้ง แต่กลายเป็นว่าสะเก็ดดาวที่ตกลงมายังพื้นดินได้เปลี่ยนระบบนิเวศวิทยา ทำให้เหล่าสรรพสัตว์กลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์และออกฆ่าผู้คนจนทำให้เหลือผู้รอดชีวิตเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ โจเอล ดอว์สัน (ดีแลน โอ’ไบรอัน) คือหนึ่งในผู้รอดชีวิตที่ต้องหลบไปอยู่ในโคโลนีใต้พื้นดินร่วมกับผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ
เวลาผ่านพ้นไป 7 ปี เขาได้รับการติดต่อทางวิทยุทางไกลมาจากเอมี (เจสสิก้า เฮนวิค) อดีตแฟนสาวที่ทั้งสองแยกจากกันในเหตุการณ์สัตว์ประหลาดบุกเมือง โจเอลจึงวางแผนว่าเขาจะออกเดินทางเพื่อไปพบกับเอมี ซึ่งเธออยู่ไกลออกไปราว 80 ไมล์ แต่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยอันตรายรอบทางโจเอลที่ปราศจากทักษะในการต่อสู้อย่างสิ้นเชิง ทำให้ตัวเขาเองและคนอื่นๆในโคโลนี่เกรงว่า โจเอลจะไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้
การเดินทางออกนอกโคโลนีของโจเอลเปรียบเสมือนบททดสอบชีวิต แต่เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเดินทางเขาก็เกือบไม่รอดจากการโจมตีของสัตว์ประหลาด โชคยังดีที่มีเจ้าตูบแสนรู้ที่เข้ามาช่วยโจเอลได้ทันเวลา และไม่นานนักเขาก็ได้พบกับไคลด์และมินนาว (ไมเคิล รูกเกอร์ และอาเรียนา กรีนบลาตต์) สองผู้รอดชีวิตที่ออกผจญภัยเอาชีวิตรอดในโลกกว้าง อีกทั้งยังรวบรวมสารพันวิธีการเอาตัวรอด โจเอลจึงได้เรียนรู้ทักษะในการต่อสู้อันหลากหลาย ประกอบกับความตั้งใจที่เขาอยากจะเดินทางไปพบคนรักให้ได้ในเร็ววันยิ่งทำให้โจเอล มีแรงกายในการต่อสู้ บากบั่นมากยิ่งขึ้น
วิธีการออกแบบตัวละครอย่างโจเอลให้กลายเป็นคนขี้แพ้และดูสิ้นไร้ไม้ตอกในแทบทุกประตู ยิ่งทำให้ผู้ชมรู้สึกอยากจะเอาใจช่วยเขาให้อยู่รอดปลอดภัยไปจนกว่าจะได้เจอคนที่เขารัก ในขณะเดียวกัน การเดินทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรคต่างๆยิ่งผลักดันให้ตัวเขาเอง เรียนรู้ความเป็นมนุษย์ เข้าใจในความยากลำบากและผลักดันตัวเองไปในจุดที่ตัวเขาเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม Love and Monster ก็ยังเป็นหนังที่ดำเนินเรื่องได้สนุก อีกทั้งตลอดเส้นทางของหนังก็ยังมอบบทเรียนชีวิตดีๆ ที่ชวนให้คนดูเอากลับมาตกผลึกและทบทวนชีวิตของตัวเองอย่างไม่ยัดเยียด แถมยังดูกันได้ทั้งครอบครัวอีกต่างหาก