The Mitchells vs. the Machines การ "จากบ้าน" ของเจนเนอเรชั่น Y และ Z ไปตลอดกาล!
บ้านมิเชลล์ไม่ได้เป็นคนสร้างวาทกรรม “ชังบ้านนี้ก็ออกไป” เปล่าเลยบ้านนี้ที่ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนอย่างคุณพ่อริค คุณแม่ลินดา น้องชายคนเล็กแอรอน และเคธี เด็กสาวที่เพิ่งจะสอบติดมหาวิทยาลัยในต่างมลรัฐและเธอกำลังรู้สึกว่าอนาคตที่สดใสกำลังรออยู่ และสิ่งสำคัญที่สุดคือเคธีมองว่า เธอกำลังจะได้ไปจากครอบครัวมิเชลซะที
สาเหตุที่เคธีรู้สึกอยากจะเดินทางจากบ้านนี้ไปอย่างตลอดกาล เพราะว่าเธอและพ่อมี ความเห็นในหลายๆเรื่องดูไม่ค่อยจะลงรอยกัน มิหนำซ้ำเธอเริ่มรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆว่าพ่อไม่เคยทำความเข้าใจในสิ่งที่ตัวเคธีต้องการเลยสักนิด กระทั่งความฝันที่เธออยากจะเป็นผู้กำกับเจ๋งๆ เพราะผลงานของเธอที่ทำลงยูทูปได้รับความนิยมจากชาวเน็ต แต่ทุกครั้งที่เธอพยายามจะเอาความภูมิใจเหล่านี้มาอวดให้พ่อตัวเองดู เขากลับมองว่ามันเป็นสิ่งไร้สาระ มิหนำซ้ำเขายังแสดงความเห็นในเชิงที่ว่า “ลูกมั่นใจแล้วเหรอว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ลูกต้องการจริงๆ”
แน่นอนว่าเมื่อริคแสดงความเห็นออกไปเช่นนั้น เขาอาจจะไม่ได้มีเจตนาที่ต้องการทำร้ายจิตใจของลูก แท้จริงแล้วริคเป็นห่วงลูกของตัวเองมากมายเสียยิ่งกว่าอะไรดี ปัญหาติดอยู่ตรงแค่วิธีการของเขานั้น เขาไม่สามารถแสดงออกให้ลูกเข้าใจได้จริงๆว่านี่คือความเป็นห่วง ริคเคยกล่าวไว้ในตอนหนึ่งของหนังว่า “เขาไม่อยากจะเห็นลูกตัวเองเจ็บปวด” ริคจึงมองเคธีเป็นเหมือนเด็กน้อยที่ยังคงต้องการการปกป้องรอบด้าน แม้กระทั่งความคิด “
กลับกันเคธีที่อยู่ในวัยที่กำลังเติบโตและอยากจะได้ใช้ความคิด ออกไปเผชิญโลกกว้าง เธอจึงรู้สึกว่า ตัวเองกำลังถูกพ่อดึงรั้งความฝันเอาไว้และไม่มีทางที่ความสามารถของเธอจะได้ผลิดอกออกผลในบ้านหลังนี้ ด้วยความไม่เข้าใจและแอบหมดหวัง เธอจึงตั้งปณิธานอันแน่วแน่ว่าการไปจากบ้านหลังนี้คือทางออกที่จะทำให้เธอมีความสุขได้เสียที
ลินดา ผู้เป็นแม่และน้องชายอย่างแอรอนมองเห็นร้อยร้าวที่เริ่มปริแยกเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา ลินดาจึงพยายามจะห้ามปรามผู้เป็นพ่อ ในขณะที่แอรอนก็พยายามเข้าใจพี่สาวของเธอให้ทุกวิถีทาง “คุณแค่ต้องหัดทำความเข้าใจว่าเธอคิดอะไรบ้าง และต้องยอมรับว่าความเจ็บปวดมันคือส่วนหนึ่งของชีวิต” คือคำพูดที่ลินดาสอนริค ไม่ต่างอะไรจากแอรอนที่พยายามบอกพี่สาวให้ทำความเข้าใจมุมมองของพ่อบ้าง
เมื่อพิจารณาจากสิ่งข้างต้นแล้วเราจะพบว่าทั้งหมดทั้งมวลที่บ้านมิเชลกำลังเผชิญอยู่คือความไม่เข้าใจกันระหว่างเจนเนอร์เรชั่นหรือปัญหาช่องว่างระหว่างวัย (Generation Gap) ซึ่งกำลังกลายเป็นปัญหาในทุกประเทศทั่วโลก และในเวลานี้ในประเทศไทยก็เผชิญปัญหานี้อย่างชัดเจน เป็นรูปธรรม ดังเช่นไม่กี่วันที่ผ่านมาจึงเกิดกลุ่มใน Facebook ที่ตั้งปณิธานในการไปใช้ชีวิตต่างประเทศเพื่อแสวงหาโอกาสและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จนบรรดานักวิเคราะห์หลายต่อหลายคนจึงพยายามส่งสัญญาณเตือน “ผู้ใหญ่” ในประเทศนี้ให้ลองเปิดใจรับฟังพวกเขา ก่อนที่ประเทศเราจะ “สูญเสียความหวัง” เหล่านี้ไปตลอดกาลและไม่มีโอกาสได้หวนคืน
กลับมาที่บ้านมิเชล เมื่อริคตัดสินใจที่จะเชื่อมความสัมพันธ์ของครอบครัวอีกครั้ง เพราะเขากลัวว่าจะต้องสูญเสียเคธีไปจากชีวิตจริงๆ เขาจึงยกเลิกตั๋วเครื่องบินและใช้การขับรถข้ามมลรัฐเพื่อไปส่งลูกสาวที่มหาวิทยาลัยด้วยความหวังว่า เขาและลูกสาวจะเข้าอกเข้าใจกันมากขึ้น แต่ระหว่างเดินทางได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นเมื่อบริษัทเทคโนโลยีรับดับชาติได้เปิดตัวสินค้าไฮเทคชุดใหม่ “พัล แมกซ์” หุ่นยนต์เอไอที่มีความคิดเป็นของตัวเอง แต่เมื่อทุกอย่างผิดพลาดทำให้สิ่งประดิษฐ์เหล่านี้อยากจะยึดครองโลก!
ทว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังการลุกขึ้นขบถของพัล แมกซ์นั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น “พัล” ระบบปฏิบัติการที่ถูกสร้างขึ้นโดยมาร์ค เจ้าของบริษัทที่ตัดสินใจโยนระบบเก่าทิ้งอย่างไร้เยื่อใย แถมทิ้งอย่างไร้ค่าเหมือนเธอเป็นขยะที่ไม่มีใครต้องการอีกแล้ว เธอจึงตัดสินใจเอาคืนมนุษย์ทุกคนให้สาสม แถมเธอยังเรียนรู้ด้วยว่ามนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่เห็นแก่ตัว และจากสถิติที่เธอสะสมมาเธอก็พบว่าคำว่า “ครอบครัว” นั้นเป็นแค่อุดมคติที่มีเพียงไม่กี่บ้านเท่านั้นที่ดำรงไว้ซึ่งความรักอันแสนอบอุ่นไว้ได้จริงๆ
เมื่อถึงสถานการณ์หุ่นยนต์โจมตีโลกมนุษย์ และความโชคดีของครอบครัวมิเชลที่จับพลัดจับผลูเป็นครอบครัวเดียวที่ยังรอดพ้นจากการจับกุม และนอกจากการเอาชีวิตรอดพวกเขาจึงต้องพยายามกอบกู้โลกที่พวกเขารักให้กลับมาสู่ทุกคนอีกครั้ง และแน่นอนว่าระหว่างทางที่พวกเขาต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย มันก็ได้ช่วยหล่อหลอมให้เคธีและริคเริ่มทำความเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้สมาชิกครอบครัวทุกคนก็ยังรักกันมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
The Mitchells vs. the Machines เป็นแอนิเมชั่นจากโซนี่ พิคเจอร์ที่คุณภาพไม่ธรรมดา ทั้งงานออกแบบงานสร้าง บทภาพยนตร์ที่เปี่ยมมิติรอบด้าน อีกทั้งยังเสียดสีจิกกัดสังคมก้มหน้าของมนุษย์ในยุคปัจจุบันอย่างตลกกรามค้างและตบหน้าคนดูไปหลายฉาด แต่เหนืออื่นใดคือการชวนคนดูคิดว่า ตกลงแล้วผู้ใหญ่ที่เหลือเวลาในชีวิตอีกไม่นาน สมควรจะเงี่ยหูฟังสิ่งที่เยาวชนและวัยรุ่นกำลังร้องขอแล้วหรือยัง