เอมิลี่ บลันต์ คิดว่าสาเหตุที่ Edge of Tomorrow 2 ยังไม่คืบหน้าเพราะหนังใช้ทุนสร้างสูงเกินไป
Edge of Tomorrow ออกฉายเมื่อปี 2014 หนังไม่ได้รับการตอบรับที่ดีนักในตลาดสหรัฐฯ แต่กลับไปได้ดีในตลาดต่างประเทศ ทำให้หนังกวาดรายได้ไปจบที่ 370.5 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างที่ 175 ล้านเหรียญ แม้หนังจะทำกำไรไม่ถึงขั้นอู้ฟู่นักแต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แล้วหนังยังไปได้ดีในตลาดวิดีโออีกด้วย และกลายเป็นหนึ่งในหนังไซไฟเรื่องโปรดของผู้ชมวงกว้าง ยิ่งเวลาผ่านไปเสียงเรียกร้องภาคต่อจากแฟน ๆ หนังเรื่องนี้ก็มากขึ้น ทำให้วอร์เนอร์อนุมัติโครงการภาคต่อมาตั้งแต่ปี 2015 แล้ว หนังยังคงอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของผู้กำกับ ดัก ไลแมน (Doug Liman)คนเดิม ขนาดที่เขามั่นอกมั่นใจกับตัวหนังมากถึงกับคุยอวดกับสื่อว่า
“มันจะเป็นการปฏิวัติวิธีการสร้างหนังภาคต่อเลยก็ว่าได้”
ยิ่งเป็นการกระตุ้นต่อมความอยากดูของแฟน ๆ ที่เฝ้ารอคอยภาคต่อมาแสนนาน แต่จนแล้วจนรอดมาจนถึงปีนี้ เราก็ยังไม่ได้ยินความคืบหน้าของ Edge of Tomorrow 2 กันเลย ซึ่งผู้กำกับไลแมนก็ยอมรับว่าสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากตารางเวลาของตัวเขาเองและ 2 นักแสดงนำที่คิวแน่นมากและว่างไม่ตรงกัน
“ตารางงานของตัวผมเอง ทอม ครูซ และเอมิลี บลันต์ นั้นมันแน่นมาก แต่บอกตามตรงเลยนะครับ Edge of Tomorrow คือโลกที่ผมรักมาก ผมชอบมันมาจากจิตใจเลย มันยังมีเรื่องราวอีกมากที่อยากจะเล่าออกมา”
นั่นเป็นเหตุผลจากทางฝั่งผู้กำกับ ดัก ไลแมน ซึ่งสอดคล้องกับบทสัมภาษณ์ของ เอมิลี บลันต์ ที่เคยตอบไว้เมื่อปลายปีที่แล้วว่าปัญหาอยู่ที่ตารางเวลา
“ฉันไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่ที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะลงตัวกันได้ คุณเข้าใจฉันใช่ไหม ระหว่างตารางเวลาของพวกเราเนี่ยแหละ มันต้องพอเหมาะพอดีกัน แต่ถ้าพูดถึงเรื่องของหนังแล้ว บอกได้แน่ ๆ เลยว่า ไอเดียมันเยี่ยมมาก เยี่ยมจริง ๆ”
และในช่วงเร็ว ๆ นี้นักข่าวก็มีโอกาสได้สอบถาม เอมิลี บลันต์ (Emily Blunt) อีกครั้ง ถึงความคืบหน้าของ Edge of Tomorrow 2 ซึ่งรอบนี้เธอให้เหตุผลว่าสาเหตุน่าจะมาจากหนังจำเป็นต้องใช้ทุนสร้างที่สูงมากเกินไป
“ด้วยความสัตย์จริงเลยค่ะ ฉันคิดว่าหนังมันแพงเกินไป ฉันมองไม่ออกว่าเราจะสร้างมันได้อย่างไร”
แม้ว่าเอมิลี บลันต์ จะออกตัวชื่นชมว่าบทหนังยอดเยี่ยมมาก แต่ทางวอร์เนอร์ก็ยังไม่มีการเปิดเผยเนื้อหาของภาคต่อออกมา แต่มีการคาดเดาจากวงในว่าหนังน่าจะมีตัวละครหลักเพิ่มขึ้นมา ส่วนสาเหตุที่ต้นทุนหนังบานไปมาก จนเอมิลี บลันต์ มองว่าน่าจะเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่โปรเจกต์ยังไม่คืบหน้า ก็น่าจะมีเหตุผลมาจากสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาดที่ยังคงไม่คลี่คลาย และมีผลต่อมาตรการความเข้มงวดที่เพิ่มขึ้นมาในกองถ่ายทั้งในเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยของทีมงาน รวม ๆ แล้วก็อาจตอบได้ว่า อนาคตของ Edge of Tomorrow 2 นั้นไม่มีอะไรแน่นอนเลย ยิ่งบวกกับทิศทางของฮอลลีวูดในช่วงนี้ ที่มีการแข่งขันในตลาดสตรีมมิงกันสูงมาก มันก็เป็นไปได้เช่นกันที่วอร์เนอร์จะตัดสินใจเบนเข็ม Edge of Tomorrow 2 ไปลง HBO Max แทน หรือปรับรูปแบบให้เป็นมินิซีรีส์ก็ได้ ถ้าโปรเจกต์ที่ทุกคนเฝ้ารอเรื่องนี้มีความคืบหน้าในทิศทางใด เราจะรีบมารายงานกันโดยด่วน