[รีวิว] Move to Heaven ซีรีส์ปาดน้ำตา อบอุ่นบนความเศร้า กับกล่องเก็บความทรงจำ
Move to Heaven ซีรีส์ออริจินัลของ Netflix เล่าเรื่องราวของ ฮันกือรู (ทังจุนซัง) หนุ่มน้อยอายุ 20 ปี ที่มีอาการ แอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม (Asperger syndrome) ซึ่งเป็นอาการของผู้ที่มีความบกพร่องทางการแสดงออกและเข้าใจความรู้สึก อยู่ในกลุ่มสเปกตรัมเดียวกันกับ ออทิสติก (Autism Spectrum Disorder) ก็นึกภาพไปถึง มุนซังแท ใน It’s Okay to Not Be Okay ได้เลยค่ะคล้าย ๆ กัน
ฮันกือรู ทำงานให้กับธุรกิจของพ่อคือบริษัท Move to Heaven เป็นบริษัทที่รับจ้างเก็บกวาดสถานที่ของผู้เสียชีวิต บริษัทอื่น ๆ ที่ทำงานในลักษณะเดียวกัน อาจแค่เก็บ ทำความสะอาด และทิ้งข้าวของเหล่านั้นไป แต่ Move to Heaven แตกต่างออกไป พวกเขาไม่เพียงทำความสะอาดสถานที่ แต่พวกเขายังเก็บความทรงจำที่ผู้เสียชีวิตทิ้งเอาไว้ใส่ในกล่องแห่งความทรงจำ เพื่อส่งต่อไปให้ญาติหรือใครสักคนที่สมควรได้รับมัน
แต่แล้ววันหนึ่งพ่อของ กือรู เสียชีวิตกะทันหัน ความเปลี่ยนแปลงใหม่เริ่มเข้ามา เมื่อเขาต้องใช้ชีวิตต่อจากนี้ร่วมกับ โจซังกู (อีแจฮุน) อาแท้ ๆ ที่เพิ่งออกจากคุก และได้รับมอบหมายจากพ่อของเขาให้มาเป็นผู้อภิบาล
เรียกน้ำตาตั้งแต่ Ep แรก
จะบอกว่าซีรีส์เรื่องนี้คือภาพสะท้อนของความโดดเดี่ยว ก็ใช่ หรือจะบอกว่าซีรีส์เรื่องนี้คือตัวแทนความอบอุ่นที่หาได้เพียงแค่เปิดใจมอง ก็ใช่อีก คนเขียนบทนี่ยังไงนะ ถึงสามารถสานต่อเรื่องราวออกมาได้พอเหมาะพอเจาะ และควบรวมสองอารมณ์เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน กือรู ยืนอยู่บนฐานะของเด็กพิเศษ ที่ไม่เพียงแต่มีความสามารถในการจดจำสิ่งที่เขาสนใจเท่านั้น แต่มีความสามารถในการจดจำสิ่งต่าง ๆ ที่ได้พบ ได้เห็นและได้ยินอย่างแม่ยำและไม่ลืมเลือน ประหนึ่งเครื่องบันทึกความทรงจำกันเลย
ซีรีส์เปิดเรื่องมาด้วยการบาดเจ็บ ล้มตายสลับกับการแนะนำตัว กือรู และการบริการของ Move to Heaven โดยใช้ความสัมพันธ์พ่อลูก ความรักความเอาใจใส่ต่อเพื่อนมนุษย์เป็นตัวขับเคลื่อน โดยใช้เวลาเพียง Ep เดียวสาดใส่ความรักความอบอุ่นของพ่อที่มีต่อลูก และสิ่งที่พ่อกล่อมเกลาจนเราต้องเสียน้ำตา ประสานไปกับชีวิตของผู้เสียชีวิตอื่นในเรื่อง ที่จะเป็นหัวเชื้อของแต่ละตอน จนทำให้เราจุกแน่นในอกและต้องหลั่งน้ำตาออกมาซ้ำสอง ไม่นะ!! เล่นกับความรู้สึกกันตั้งแต่ต้นเลยเหรอ แต่เขาก็ทำกับเราแบบนั้นไปแล้วค่ะ
ตัดพ้อสังคมอย่างเรียบง่ายแต่เจ็บปวด
ภาพสะท้อนที่ซีรีส์ใส่เข้ามาในทุก ๆ Ep สามารถแยกอารมณ์เราเป็นสองฝั่งอย่างเรียบง่าย เราสามารถรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด ไปกับความสัมพันธ์ของตัวละคร ไม่ว่าจะเป็น กือรูกับพ่อ กือรูกับโจซังกูผู้เป็นอา หรือกือรูกับ ยุนนามู (ฮงซึงฮี) เพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามที่รักและเป็นห่วงกือรูดุจกัลยาณมิตร ที่สอดส่องทุกเรื่องของกือรู แต่ในอารมณ์อบอุ่นที่พร่างพราวอยู่ตลอดทั้งเรื่อง กลับมีอีกอารมณ์หนึ่งที่เล่นล้อเคียงข้างดุจเงาตามตัว และทำให้จุกแน่นในอก คือความโดดเดี่ยว อ้างว้างและการถูกทอดทิ้ง
ซีรีส์เล่นกับประเด็นสังคมที่บอกว่า เราต่างถูกทอดทิ้งและเราเองยังเป็นหนึ่งในคนที่ทอดทิ้งใครบางคนให้อยู่ข้างหลังเสียเอง ความคาดไม่ถึงของเรามีส่วนทำให้สังคมนี้ โดยเฉพาะสังคมเมืองที่มีการแข่งขันกลายเป็นสังคมสมัยใหม่ที่แห้งแล้ง โดดเดี่ยว การจากไปของเพื่อนบ้าน หรือแม้แต่ความรู้สึกของคนข้าง ๆ ไม่ใช่สิ่งที่น่าสนใจมากเพียงพอสำหรับเรา เราต่างละเลยมัน
ซีรีส์กำลังบอกเราว่า ทุกวันนี้เราดูแลกันดีแล้วจริงเหรอในฐานะของพลเมือง ในฐานะของเพื่อนมนุษย์ เราไม่รู้เลยว่า มีคนมากมายถูกโดดเดี่ยวและพวกเขาต้องพบกับความโศกเศร้ามากแค่ไหน กลายเป็นซอกหลืบแห่งความเป็นมนุษย์ที่ไร้คนสนใจ เรามองแต่เรื่องฉาบฉวย แม้ว่าเขาจะใช้ชีวิตอยู่ข้าง ๆ เรานี่เอง ในทุก ๆ ตอนของซีรีส์มีสาส์นเหล่านี้อยู่อย่างเต็มล้น แตกต่างกันที่สีสันและเรื่องราวที่นำเสนอในแต่ละตอน ที่มันช่างกินใจเท่านั้นเอง
Move to Heaven คือตัวแทนของความใส่ใจที่ขาดหาย
ถึงกือรูจะใช้ชีวิตอยู่กับพ่อเพียงลำพัง แต่ตลอดเวลาพ่อจะสอนให้กือรูเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ไม่เพียงแต่การช่วยเหลือตัวเองได้ดี แต่มากไปกว่านั้นก็คือการอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้โดยที่อาการ แอสเพอร์เกอร์ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หนำซ้ำความสามารถพิเศษที่กือรูมีกลับช่วยให้งานของพ่อราบรื่น และมีความหมายมากขึ้นไปอีก เพราะการบริการของ Move to Heaven คือความใส่ใจที่สังคมยังต้องการและ กือรู ใส่ใจมันมากถึงขีดสุด
ซีรีส์เล่นกับปมสังคมที่เพื่อนมนุษย์ต่างถูกหลงลืม ผสมไปกับอารมณ์ของการสืบสวน ไขคดี แต่เสิร์ฟออกมาในรูปแบบของการ ไขข้อความ หรือ สาส์น ที่ผู้ตายทิ้งเอาไว้ผ่านข้าวของที่หลงเหลืออยู่ เพื่อรอคอยคนพิเศษสักคนมาส่งต่อสาส์นสุดท้ายที่ไม่ทันได้เอ่ย หรือเปิดเผยให้ใครบางคนได้รับรู้ เป็นการปลดเปลื้องเรื่องที่ติดค้างในใจของคนคนหนึ่ง ทั้งผู้ที่ล่วงลับไปแล้วและผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ การคลี่ปมต่าง ๆ ในเรื่องจะส่งผ่านรูปแบบความสัมพันธ์ที่แตกต่าง ของแต่ละชีวิตที่เป็นเมนของแต่ละตอน ไปพร้อม ๆ กับความสัมพันธ์อา-หลาน ที่ต่างกันสุดขั้ว แต่ขาดกันไม่ได้ในที่สุด
จะมีคำถามหนึ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาจนเกือบจะจบเรื่องก็คือ ทำไมพ่อของกือรูจึงไว้ใจให้น้องชายของตัวเองที่เลือดร้อน มาดูแลลูกชายคนเดียวที่มีอาการของเด็กพิเศษ อะไรคือสาเหตุของการตัดสินใจนี้ ซึ่งซีรีส์จะทำให้เราค่อย ๆ เข้าใจไปทีละขั้น ทีละตอนจนซาบซึ้งไปกับความรักของผู้เป็นพ่อที่มีต่อลูกชาย และน้องชายของตัวเอง ทำให้พ่อที่เสียชีวิตตั้งแต่ Ep แรก ไม่เคยตายไปจากหัวใจของกือรูและคนดูอย่างเราไปได้เลย
อารมณ์ร่วมลักษณะนี้ ถูกส่งผ่านออกมาจากซีรีส์จนเรารับมันเข้ามาอยู่ในความรู้สึกอย่างไม่รู้ตัว ผ่านพล็อตสะท้อนชีวิต ผ่านบทที่เรียบง่ายและสมจริง ผ่านการแสดงที่เป็นธรรมชาติจนต้องเอ่ยปากชม ของตัวแสดงหลักอย่าง ทังจุนซัง จากแก๊งสหายผู้กองในซีรีส์ Crash Landing on You และ อีแจฮุน ที่มีผลงานติดตาแฟนคลับใน Taxi Driver จนสามารถส่งอารมณ์มาถึงเราได้อย่างจัง
ทำให้กลายเป็นซีรีส์ที่มีความอบอุ่นระคนเศร้า เจ็บในอกแต่ก็อบอุ่นอยู่ลึก ๆ และหน่วงใจไปกับเรื่องราวที่ตัวละครต้องพบเจอ แต่ก็ยังยิ้มและหัวเราะได้กับสายสัมพันธ์ ความรัก ความห่วงใยที่อบอวลอยู่รายรอบจนกลายเป็นซีรีส์ที่ทำให้คนดูเดี๋ยวก็ยิ้ม เดี๋ยวก็ซึ้ง เดี๋ยวก็เศร้าและหนาวหัวใจเอาได้ง่าย ๆ เตรียมทิชชูไว้ค่ะ ได้ใช้แน่นอน ฟันธง
Move to Heaven
- ประเภท : ดราม่า สะเทือนอารมณ์
- กำกับ : คิมซองโฮ
- เขียนบท : ยุนจีรยอน
- จำนวนตอน : 10 ตอนจบ
อัลบั้มภาพ 31 ภาพ