Young Royals ฉาว! ราชวงศ์สะเทือน เมื่อเจ้าชายตกหลุมรักหนุ่มสามัญชน
Young Royals ซีรีส์ความยาว 6 ตอน ตอนละประมาณ 40 นาทีเป็นซีรีส์แนวคัมมิงส์ออฟเอจ (Coming of age) ที่จะพาคนดูหลุดออกจากโลกแห่งความฝันจาก เรื่องราวของเทพนิยายเจ้าชายเจ้าหญิงแบบดิสนีย์ ก้าวสู่มุมมอง “ราชวงศ์” ในสอดรับกับโลกในยุคปัจจุบันที่การดำรงฐานะทางสังคมของชนชั้นสูงเหล่านี้ ต้องแบกความคาดหวัง การถูกจับตามองจากสังคม การถูกวิพากษ์วิจารณ์ ต้องแลกความเป็นส่วนตัวกับทรัพย์สินเงินทอง เพื่อสานต่อวงศ์ตระกูลของตัวเองต่อไป
หลังจากเหตุการณ์อื้อฉาวที่เจ้าชายวิลเฮล์ม (เอ็ดวิน รีดิง) มกุฎราชกุมารประจำราชวงศ์สวีเดนเกิดมีเรื่องชกต่อยกับวัยรุ่นในผับแห่งหนึ่งจนกลายเป็นคลิปฉาวประจำโซเชียลมีเดีย ทำให้ราชวงศ์ของเขาต้องออกมาขอโทษสังคม หามาตรการจัดการอบรมบ่มนิสัยเจ้าชายวิลเฮล์มด้วยการส่งเขาไปยังโรงเรียนประจำฮิลเลอร์สการ์ ซึ่งห่างไกลกับสำนักพระราชวัง และเพื่อเป็นการทำให้สังคมเห็นว่า ทางครอบครัวไม่ได้นิ่งนอนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
เจ้าชายวิลเฮล์มมีอาการต่อต้านสังคมและระบบจารีตที่สืบต่อกันมาอย่างยาวนาน เขาเป็นแค่เพียงวัยรุ่นคนหนึ่งที่ต้องการจะใช้ช่วงเวลาของตัวเองให้คุ้มค่า แต่กลับต้องถูกจับตามองจากสังคมและแบกรับความคาดหวังต่างๆนานา การที่เขาถูกส่งตัวมายังโรงเรียนประจำในช่วงแรกทำให้เขาเกิดความอึดอัด อย่างไรก็ตามด้วยความสนิทกับพี่ชายอย่างเอริค (ไอวาร์ อักก์ลาร์) ผู้ฝากฝังน้องชายไว้กับเพื่อนคนสนิทอย่างออกุสท์ (แมตเต้ การ์ดดิ้ง) นักเรียนชั้นปีสาม ลูกพี่ลูกน้องแบบห่างๆของพวกเขาให้ช่วยดูแลระหว่างที่วิลเฮล์มต้องมาใช้ชีวิตอยู่ที่โรงเรียนประจำ
ระหว่างพิธีต้อนรับเจ้าชายในฐานะนักเรียนใหม่ วิลเฮล์มได้เหลือบไปเห็นซีมอน (โอมาร์ รัดเบิร์ก) นักร้องประสานเสียงผมหยักศก หน้าคมเข้ม กำลังร้องเพลงประสานเสียงเพื่อต้อนรับเจ้าชาย ในวินาทีนั้นวิลเฮล์มเหมือนกับต้องมนต์บางอย่าง โดยอธิบายความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำไป หลังจากนั้นไม่นานวิลเฮล์มได้พบว่าซีมอนคือเพื่อนร่วมชั้นของเขา ซึ่งเป็นหนุ่มยากไร้ชนชั้นแรงงานที่ได้เข้าเรียนในโรงเรียนแห่งนี้พร้อมกับซาร่า น้องสาวซึ่งป่วยเป็นโรคแอสเพอร์เกอร์ อันเป็นอาการเกี่ยวกับความบกพร่องด้านพัฒนาการทางสังคม ดังนั้นสองพี่น้องที่ต้องแบกรับความแตกต่างทางชนชั้นแล้ว พวกเขายังต้องพยายามปรับตัวให้สามารถร่วมชั้นเรียนกับนักเรียนที่ส่วนมากแล้วมาจากสังคมชนชั้นสูง ลูกหลานของนักธุรกิจ รวมไปถึงหน่อเนื้อจากราชวงศ์สวีเดน
ในชั้นเรียนวิชาสังคมศึกษา ที่หยิบหัวข้อ “การเลี่ยงภาษี” มาให้นักเรียนในชั้นถกเถียงและแสดงมุมมอง นักเรียนส่วนมากที่มีอันจะกิน เลือกจะสะท้อนว่าการที่คนเลี่ยงภาษีนั้น เป็นการบอกว่าคนกลุ่มนี้สามารถหาเงินได้จำนวนมาก มีส่วนช่วยสังคมสร้างงาน ในขณะที่นักเรียนบางคนมองว่า กลุ่มคนที่โกงสวัสดิการแล้วไม่ตอบแทนอะไรสู่สังคมคือพวกที่ดีแต่ฉกฉวย นั้นเป็นสิ่งที่แย่กว่า ซีมอนจึงกลับตอบแบบฟาดๆ “ทำไมใช้คำว่าเลี่ยงภาษี แต่ใช้คำว่าโกงสวัสดิการ ในเมื่อคนรวยสามารถโกงได้ แต่คนจนโกงไม่ได้เหรอครับ สำหรับคนรวยมันไม่ได้เรียกว่าสวัสดิการแต่หมายถึงการหักลบภาษี” อีกทั้งทิ้งท้ายแบบแสบๆคันๆว่า “เราทุกคนรู้ดีว่าใครได้รับสวัสดิการมากที่สุดในสังคมนี้” ก่อนจิกสายตาไปหาเจ้าชายวิลเฮล์ม
แค่ประเด็นเรื่องสวัสดิการจากภาครัฐ และเรื่องภาษี ยังกลายเป็นประเด็นถกเถียงที่ร้อนแรงในชั้นเรียนของประเทศสวีเดน อีกทั้งคนที่อยู่ในโครงสร้างทางสังคมแบบทุกชนชั้นยังสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเปิดกว้าง คือสิ่งที่ทำให้ Young Royals พาตัวเองหลุดออกจากซีรีส์หรือหนัง LGBTQ ที่วนเวียนอยู่กับเรื่องราวฉาวๆของหนุ่มสาวคนมีอันจะกิน แต่ยังมองลึกไปถึงความแตกต่างในเรื่องสถานะทางสังคม ก่อนที่ซีรีส์จะค่อยๆพาคนดูไปสำรวจชีวิตของเจ้าชายวิลเฮล์มว่าในทุกย่างก้าว ในทุกการตัดสินใจของเขาล้วนแล้วแต่สร้างผลกระทบต่อคนรอบข้างในแบบที่ตัวเองก็คาดไม่ถึง
อย่างไรก็ตาม ความรักที่ก่อตัวขึ้นแบบไม่เลิกปฏิบัติ กลายเป็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าชายวิลเฮล์มและซีมอนเกิดขึ้นแบบไร้เรื่องชนชั้น ทั้งสองเคมีถูกชะตากันอย่างประหลาดหลังจากงานปาร์ตี้หลังพิธีรับน้อง โมเมนต์โรแมนติกเล็กๆที่เกิดขึ้นอย่างช้าในห้องดูหนังที่ทั้งสองกุมมือกันด้วยความรู้สึกดีๆ ก่อนที่ทั้งสองจะเริ่มตั้งคำถามต่อกันและกันว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นมันคืออะไรกันแน่ เจ้าชายวิลเฮล์มต้องระแวงระวังในทุกฝีเก้า เพราะเขารู้ดีว่า ไม่สามารถจะทำให้ครอบครัวและราชวงศ์ของตัวเองต้องแบกรับความฉาวโฉ่เกี่ยวกับพฤติกรรมของเขาได้อีกแล้ว ดังนั้นความสัมพันธ์ของเขาและซีมอนจึงต้องเกิดขึ้นอย่างลับๆ และทางซีมอนเองก็เหมือนจะไม่เต็มใจเท่าไหร่ แต่เขาก็พยายามยอมรับและทำความเข้าใจวิลเฮล์มเท่าที่เขาจะสามารถทำได้อย่างสุดความสามารถ
Young Royals จึงเป็นการจำลองสภาพความเป็นจริงของราชวงศ์ในโลกยุคปัจจุบันมาผูกกับประเด็น LGBTQ ได้อย่างน่าสนใจ โยนคำถาม และคลี่คลายสถานการณ์ในแบบที่ยึดหลักแห่งความเป็นจริง ไม่เพ้อฝันจนคนดูจะต้องอยากรู้ อยากเห็นและติดตามต่อ เพราะอย่างน้อยซีรีส์เรื่องนี้ก็ทำให้เรามองเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นสามัญชนคนธรรมดาหรือแม้กระทั่งหน่อเนื้อราชวงศ์ก็ล้วนแล้วแต่เป็น “มนุษย์ธรรมดา” ที่มีความรักและสามารถผิดหวังได้ ไม่แตกต่างกัน ไม่มีใคร “เหนือกว่า” หากเรามองคนให้เท่าเทียมกัน