15 ปี High School Musical ความหลังหวานฉ่ำ ต้นกำเนิดหนังเพลงไฮสคูล
การกลับมาของหนังมิวสิคัล แต่ไหนล่ะ หนังเพลงที่มีฉากหลังในไฮสคูล!
ใช่ว่าฮอลลีวูดไม่เคยสร้างหนังเพลงสำหรับวัยรุ่น แต่นั่นก็นานมาแล้วอาทิ เรื่องราวอย่าง West Side Story หรือ Grease แต่หนังเพลงที่ประสบความสำเร็จถูกทิ้งช่วงห่างจอภาพยนตร์ไปเนิ่นนาน จนกระทั่ง ปี 2001 Moulin Rouge ได้สร้างปรากฏการณ์หนังมิวสิคัลกลับมาขึ้นจอภาพยนตร์อีกครั้ง หนึ่งปีให้หลัง Chicago คว้ารางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและบรรดาหนังเพลงกลับมาอยู่ในกระแส "ป๊อบคัลเจอร์" (Pop Culture) อีกครั้ง มีการสร้างหนังเพลงอีกมากมายหลายเรื่องไม่ว่าจะดัดแปลงมาจากละครเวทีบรอดเวย์มิวสิคัล หรือเขียนบทขึ้นใหม่ แต่ไม่มีหนังเพลงเรื่องไหนพาผู้ชมไปสำรวจเรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นในไฮสคูลแบบจริงๆจังๆ สักที
ปัจจัยแห่งความสำเร็จนี้ไม่ใช่เรื่องฟลุคๆ เพราะ High School Musical ได้เคนนี่ ออร์เทก้า โคริโอกราเฟอร์ (คนออกแบบท่าเต้น) จากหนังดังอย่าง Dirty Dancing ผู้คลุกคลีกับงานภาพยนตร์เรื่องดังที่มี “เสียงเพลง” เกี่ยวข้องหลายเรื่องนับไม่ถ้วน มานั่งแท่นเป็นผู้กำกับหนังสำหรับโทรทัศน์เรื่องนี้ และภายใต้วิสัยทัศน์ของ “บิล บอร์เดน” อยากจะสร้างหนังเพลงสักเรื่องที่พ่อแม่สามารถนั่งดูพร้อมกับลูกๆที่บ้านได้ หนังเรื่องนี้จึงได้รับการสร้างขึ้น
High School Musical ถูกสร้างขึ้นเพื่อฉายเฉพาะทางช่องโทรทัศน์ Disney Channel Original Movie (DCOM) ซึ่งสร้างปรากฏการณ์เรตติ้งผู้ชมในวันเปิดตัวสูงถึง 7.7 ล้านคนในอเมริกาเหนือ จนดิสนีย์เองก็คาดไม่ถึงกับสิ่งนี้เช่นกัน ทั้งที่พล็อตเรื่องนั้นไม่มีอะไรหลีกหนีไปจากพล็อตสูตรสำเร็จประเภทพระเอกหน้าตาหล่อเหลาพบรักกับสาวขี้อายในโรงเรียนไฮสคูล
ทรอย โบลตัน (แซค เอฟรอน) หนุ่มหล่อที่เพิ่งย้ายโรงเรียนมาพร้อมกับพ่อผู้เป็นโค้ชคนใหม่ประจำทีมบาสเกตบอล ได้เข้าเรียนในอีสไฮสคูล ในฐานะหนุ่มหน้าใหม่ระหว่างงานฉลองเคาท์ดาวน์ปีใหม่ เขาจับพลัดจับผลูต้องขึ้นเวทีไปร้องคาราโอเกะกับสาวแปลกหน้าอย่างกาเบรียลลา (วาเนสซ่า ฮัดเจนส์) ในเพลง Start of something new จนทั้งสองเหมือนว่าจะตกหลุมรักกัน
ไม่นานนักทั้งสองได้พบกันอีกครั้งในโรงเรียน กาเบรียลลาถือเป็นนักเรียนหัวดี แสนขี้อาย เธอถือว่าอยู่ในกลุ่มเด็กเนิร์ดประจำไฮสคูล ระหว่างนั้นเองกำลังจะมีการทำละครเวทีขึ้น ทำให้ทั้งสองสนใจที่จะมาร่วมออดิชั่นเพื่อเป็นนักแสดง โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าเจ้าแม่ละครอย่างชาร์เพย์ (แอชลีย์ ทิสเดล) และน้องชายอย่างไรอัน (ลูคัส กราบีล) หมายมั่นปั้นมือจะรับบทนำมานานแค่ไหน
เมื่อชาร์เพย์รู้สึกว่ากำลังจะต้องสูญเสียบทนำให้กับกาเบรียลลา เธอจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อขวางทางฝัน ด้วยการโน้มน้าวให้บรรดาผองเพื่อนของทั้งกาเบรียลลาและทรอย ทำให้พวกเขากลับไปอยู่ในวิถีทางของตัวเองเช่นทรอย คู่ควรเป็นนักกีฬาบาสเกตบอล ส่วนกาเบรียลควรเป็นนักเรียนสายวิชาการที่ไม่ควรกระโดดข้ามมาทำกิจกรรมแสดงละคร ทั้งสองจึงต้องพิสูจน์ตัวเองให้สังคมในไฮสคูลได้เห็นความต้องการของพวกเขา และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
แม้ว่า High School Musical จะเล่าสูตรสำเร็จว่าด้วยการทำตามความฝันและความรักของหนุ่มสาว ผ่านบทเพลงป๊อปติดหูฟังง่าย แต่ระหว่าทางของหนังกลับพยายามนำเสนอให้วัยรุ่นเห็นว่า ไม่ใช่เรื่องจำเป็นเสมอไปที่คนเราจะต้องเก่งสุดทางในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น ทุกคนสามารถทำให้สิ่งที่ตัวเองถนัดและพัฒนาความชอบของตัวเองควบคู่กันไปพร้อมๆกัน
คำสำเร็จถล่มทลาย
ด้วยการตอบรับอย่างถล่มทลายส่งผลให้เหล่านักแสดงนำในเรื่องเนื้อหอมอาทิ แซค เอฟรอนกลายเป็นนักแสดงหนุ่มหล่อเลือดใหม่ที่มีผลงานการแสดงอย่างต่อเนื่อง วาเนสซา ฮัดเจนส์ได้มีผลงานออกอัลบั้ม เช่นเดียวกันกับแอชลีย์ ทิสเดล ความนิยมของหนังเรื่องนี้ รวมไปถึงเพลงที่ฮิตมากทำให้ดิสนีย์เปิดทัวร์คอนเสิร์ต High School Musical: The Concert ในทวีปอเมริกาเหนือและแถบลาตินอเมริกา แต่ในคอนเสิร์ตนี้ไร้เงาของแซค เอฟรอน เพราะในตารางทัวร์คอนเสิร์ตนั้นดันไปชนกับตารางงานถ่ายทำหนังเพลงอย่าง Hairspray พอดิบพอดี ทำให้ดรูวส์ ซีเลย์ ซึ่งเป็นคนร้องเพลง High School Musical ตัวจริง เสียงจริงเฉพาะหนังภาคแรก ต้องขึ้นคอนเสิร์ตแทนตลอดทัวร์! อย่างไรก็ตามหลายเพลงในหนังเรื่องนี้ได้รับการแสดงบนเวที นอกจากนั้น แอชลีย์ ทิสเดลยังได้ขนเพลงฮิตจากอัลบั้มของตัวเองอาทิ Headstrong, We'll Be Together และ He Said She Said มาโชว์บนเวที เช่นเดียวกันกันวาเนสซ่า ฮัดเจนส์, ดรูวส์ ซีเลย์ และคอร์บิน เบลอ
และเพื่อต่อยอดความสำเร็จของ High School Musical ดิสนีย์จึงได้สร้างภาคต่อออกมาในปี 2007 กับ High School Musical 2 บอกเล่าช่วงเวลาซัมเมอร์สุดป่วน และ High School Musical 3: Senior Year ในปี 2008 โดยความพิเศษของหนังภาคนี้นอกจากจะเป็นบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ยังสร้างขึ้นเพื่อฉายในโรงภาพยนตร์ด้วย โดยกวาดรายได้จากทั่วโลกไปถึง 252 ล้านเหรียญฯ
โดยความสำเร็จที่กลายเป็นบทบันทึกหนึ่งในตำนานของสตูดิโออย่างดิสนีย์ มีความพยายามหลายครั้งที่จะนำ High School Musical กลับมาสร้างใหม่ ไม่ว่าจะเป็นภาคต่อ อย่างภาคที่ 4 แต่โครงการก็ถูกล้มพับไป จนกระทั่งดิสนีย์จะเปิดตัว Disney+ ทำให้เรื่องราวใน High School Musical ถูกปัดฝุ่นกลับมาบอกเล่าเรื่องราวใหม่ ในรูปแบบซีรีส์กับ High School Musical: The Musical: The Series ที่เราจะพาทุกคนไปเจาะลึกในโอกาสต่อไป
ร่วมย้อนความทรงจำกับ High School Musical ได้แล้วทาง Disney+ Hotstar