[เปิด Netflix มารีวิว] Blood Red Sky เที่ยวบินนี้ มีผีดูดเลือด (และผู้ก่อการร้าย)
นาเดีย (แพรี บอไมสเตอ) กำลังเดินทางจากเยอรมันไปนิวยอร์กเพื่อรักษาอาการป่วยเกี่ยวกับเลือด (หากเธอไม่ฉีดยาให้ทันเวลา เธอจะกลายร่างเป็นแวมไพร์) พร้อมกับลูกชายอย่าง เอเลียส (คาร์ล แอนทัน คอช) ด้วยเที่ยวบินไฟล์ทดึก แต่หลังจากที่เครื่องเทคออฟไปได้ไม่นาน ลูกเรือและผู้โดยสารก็ต้องช็อคเพราะพวกเขากำลังถูกผู้ก่อการร้ายจี้เป็นตัวประกัน ซ้ำร้ายด้วยนาเดียถูกยิงจนอาการปางตาย
หลังจากที่นอนจมกองเลือดได้ไม่นาน นาเดียฟื้นกลับขึ้นมาได้ด้วยเลือดแวมไพร์ที่ไหลเวียนอยู่ในตัว เธอจึงพยายามเอาชีวิตรอด ช่วยเหลือลูกชายและแก้สถานการณ์เพื่อให้เครื่องบินลำนี้สามารถกลับไปอยู่ในเส้นทางที่จะนำพาเธอไปลงจอดในนิวยอร์กอีกครั้ง เพราะถ้าเธอทำไม่สำเร็จ นั่นหมายความว่า เครื่องบินลำนี้จะกลายเป็นการก่อการร้ายสะเทือนโลกครั้งใหม่ และจะส่งผลให้เธอไม่ได้เข้ารับการรักษาโรคเรื้อรังด้วยเช่นกัน แต่การกู้สถานการณ์ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เนื่องจากเธอต้องสู้กับทั้งผู้ก่อการร้าย และเหล่าผู้โดยสารที่ยังหวาดกลัว “แวมไพร์” อย่างนาเดียอีกด้วย
Blood Red Sky ยืนโครงสร้างเป็นหนังโจรกรรมจี้ปล้นเครื่องบิน แต่ใส่ตัวละครแวมไพร์เข้ามาได้อย่างน่าสนใจ ยังไม่รวมไปถึงการเปิดเรื่องด้วยการให้ผู้ชมเห็นว่า เอเลียสนั้นรอดชีวิตหลังจากที่เครื่องลงจอดอย่างปลอดภัยแล้ว แต่หนังตั้งคำถามกับผู้ชมว่า ตกลงเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินตอนที่ลอยอยู่บนน่านฟ้านั้น แท้ที่จริงเกิดอะไรขึ้นกันแน่และใครที่ยังมีชีวิตรอดอยู่บนเครื่องบ้าง
เมื่อผู้ชมถูกพาย้อนเวลากลับไป เปิดโอกาสให้เราได้สำรวจตัวละครอย่างนาเดียเป็นระยะว่า แท้ที่จริงแล้วเธอไม่ได้อยากเป็นแวมไพร์ แต่เธอ “ติดเชื้อ” ดังกล่าวมาด้วยความบังเอิญจะต้องทนทุกข์อยู่กับอาการข้างเคียงดังกล่าวเป็นเวลาหลายปี เช่นกันแผนการก่อการร้ายของฝั่งตัวร้ายก็น่าสนใจที่หยิบเอาเรื่องเชื้อชาติและศาสนามาเป็นตัวเขย่าให้เหตุผลของการยึดเครื่องบินครั้งนี้เป็นมากกว่าแค่ การมีอยู่ของตัวร้ายเพื่อเป็นข้ออ้างในการสร้างความวุ่นวายให้กับตัวละครหลัก
มิติของตัวละครผู้โดยสารหลายคน ถูกหยิบนำมาใช้ได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะตัวละครนักธุรกิจชั้นเฟิร์สคลาสที่อาการปางตายหลังจากเครื่องบินเกิดเสียศูนย์ส่งผลให้เขาถูกรถเข็นกระแทกจนปอดฉีก เขาสิ้นหวังหนทางรอด ทำให้ตัวละครนี้ตัดสินใจทำเรื่องบางอย่างจนนำไปสู่หายนะของคนหมู่มาก
เรื่องราวเหล่านี้ได้สะท้อนให้คนดูได้เห็นว่า ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตไหนๆ ความมักง่ายและเห็นแก่ตัวของ “Elite” เพียงหยิบมือ นำพามาซึ่งหายนะสู่ประชาชนคนธรรมดา และคนชายขอบ (นาเดีย) ที่ต้องพลิกตัวเองขึ้นมาต่อสู้และเอาชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพัน ทั้งๆที่เธอก็เป็นแค่คนโชคร้ายและอยากจะโดยสารเครื่องบินลำนี้ไปรักษาตัวเองให้หายขาด และมีชีวิตรอดในฐานะ "มนุษย์คนหนึ่ง" ก็เท่านั้น