สิ่งน่ารู้เกี่ยวกับ Mission: Impossible โดยเพจ ตั๋วร้อน ป๊อปคอร์นชีส
ตั๋วร้อน ป๊อปคอร์นชีส จะพาทุกคนมารู้ลึกไปกับภาพยนตร์แอ็คชั่นเรื่องดังที่ผู้ชมทั่วโลกคุ้นเคยกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในจักรวาล Mission: Impossible แบบเรียงลำดับบ้าง ไม่เรียงบ้างแล้วแต่จะค้นหาข้อมูลได้
- หนังภาคแรกถ่ายทำโดยไม่มีสคริปต์แน่ชัด คนเขียนบทต้องช่วยกันเขียนบทขึ้นจากลำดับภาพในจินตนาการที่ผู้กำกับ Brian De Palma เล่าให้ฟังเป็นฉากๆ
- ฉากห้อยตัวลงมาเอาข้อมูลโหลดใส่แผ่นดิสก์นั้นถ่ายยากมาก น้ำหนักไม่สมดุลสักที จนมีคนเอาเหรียญไปใส่ไว้ในรองเท้าของ Tom Cruise เพื่อถ่วงความสมดุล แล้วมันก็ได้ผลจริงๆ
- หนังภาคแรก Tom Cruise ไม่ได้ยิงปืนเลย ความแอ็คชั่นของหนังเน้นที่การทำภารกิจล้วนๆ
- บริษัท Apple ตัดงบสนับสนุนหนังภาคแรก เพราะ Ethan Hunt ใช้คอมยี่ห้ออื่นในหนังด้วย แทนที่จะใช้แต่ Powerbook 5300c ของ Apple
- พัดลมยักษ์ 140 ไมล์ต่อชั่วโมงถูกพัดใส่หน้า Tom Cruise ในการถ่ายทำฉากบนรถไฟ เพื่อให้ดูเหมือนหน้าต้านลมจริงๆ (ในขณะที่หนังกับละครไทยถ่ายฉากเหาะ แต่ผมไม่ปลิวเลยก็มี)
- Tom Cruise ไม่ชอบตอนจบของหนังภาคแรก โดยเฉพาะการให้มีคอปเตอร์ในอุโมงค์รถไฟ แต่แล้วผู้กำกับ Brian De Palma ก็ชนะและใส่คอปเตอร์เข้าไปจนได้โดยให้เหตุผลว่า หนังมันต้องจบแบบเหนือชั้น (แต่ว่าฉากนี้ออกมาปลอมมาก)
- Ethan Hunt ถูกอธิบายคุณลักษณะไว้ว่าเขาพูดได้ 15 ภาษา เขาปลอมตัวเก่งเนื่องจากเติบโตมาในฟาร์มแล้วต้องเล่นคนเดียว ซึ่งเขามักสมมติว่าตัวเองเป็นทั้ง พ่อ แม่ ลูก คนดี คนร้าย และอื่นๆอีกมากมาย
- Tom Cruise แสดงฉากเสี่ยงตายเองแทบทั้งหมด หนึ่งในนั้นคือการปีนตึก Burj Khalifa ที่สูงที่สุดในดูไบ
- Tom Cruise คือคนที่ John Woo กังวลใจมากที่สุดเท่าที่เคยร่วมงานมา เขาปีนเขาสูงเอง และ ให้แทงมีดจ่อลงบนดวงตาเขาจริงๆ John Woo พยายามใช้ดวงตาของนักแสดงแทน แต่ Tom Cruise บอกว่าไม่มีดวงตาคู่ไหนของใครสามารถทดแทนดวงตาสวยๆคู่นี้ของผมได้
- John Woo วางตัวท่านเซอร์ Ian McKellen ในบท ผู้บัญชาการ Swanbeck แต่ท่านเซอร์ Ian McKellen ไม่ว่างเพราะติดแสดงละครเวที ผู้สร้างจึงติดต่อ Anthony Hopkins ให้มาแสดง John Woo แทบจะลงไปดิ้น เขานอนไม่หลับเลยเมื่อรู้ตัวจะได้กำกับดาราในตำนาน
- ในหนังทุกภาคต้องมีฉากห้อยตัวทำภารกิจ โดยตัวละครใดตัวละครหนึ่ง ถือเป็นลายเซ็นต์ของหนังชุดนี้
- Tom Cruise ได้ดู Alias ของ J. J. Abrams ในเช้าวันหนึ่ง แค่เพียงตอนเดียวเขาก็รู้แล้วว่าหมอนี่แหละคนที่จะมากำกับ Mission: Impossible ภาค 3
- J. J. Abrams ได้งบสร้างหนังสูงที่สุดในชีวิตของเขาในการกำกับภาค 3 เขาทั้งสติแตก และสนุกไปกับการถลุงเงินสร้างฉากที่คิดขึ้นในหัว
- Simon Pegg พูดขำๆหลังจากที่เขาเริ่มดังนิดๆ กับหนัง Shaun of the Dead ว่า สักวันผมจะได้เล่น Mission: Impossible ภาค 3 แล้วเขาก็ได้มาสู่จักรวาลนี้จริงๆ แบบงงๆ
- John Woo ตัดหนังภาค 2 ได้ความยาว 3 ชั่วโมงครึ่ง เขาจำต้องหั่นฉากที่ชอบมากมายออกอีกเพื่อความกระชับอย่างไม่เต็มใจนัก เคยมีความคิดแยกเป็นสองภาค แต่สตูดิโอไม่เอาด้วย
- Joe Carnahan พัฒนาหนังภาค 3 มาแรมปี ก่อนจะถอนตัวออกไปแล้วได้ J. J. Abrams มาเสียบแทน ส่วน Joe Carnahan เองก็ไปทำ Smokin' Aces โดยใส่ฉากที่เขาดีไซน์ต่างๆเอาไว้ใน MI:3 ไปในหนัง Smokin' Aces ถ้าอยากรู้ว่าสไตล์ MI:3 ที่โจกำกับจะออกมาเป็นไง ให้ดูจากสไตล์ใน Smokin' Aces นั่นแหละ
- Dougray Scott ปฏิเสธบทจากหนังที่สร้างจากการ์ตูนเรื่องหนึ่งเพื่อมาเป็นตัวร้ายในหนัง Mission: Impossible ภาค 2 ให้ดาราที่เขาชอบอย่าง Tom Cruise บทหนังที่สร้างจากการ์ตูนที่ว่านั้นคือบท Wolverine
- บท Mission: Impossible ภาค 2 เขียนขึ้นจากการบอกเล่าฉากแอ็คชั่นของ John Woo แล้วให้ทีมเขียนบทกลั่นออกมา แน่นอนว่าเขามีฉากฆ่าแกงกันในหัวเยอะมากตามประสาคนทำหนังแอ็คชั่นฮ่องกงที่เพิ่งเคยเจองบก้อนโต มันจึงทำให้หนังมีความยาว 3 ชั่วโมงครึ่งอย่างที่ถูกตัดต่อออกมาในตอนแรก
- ใน Mission: Impossible ภาค 3 นั้น กองถ่ายใช้แผนเบนความสนใจฝูงชนในกรุงโรม โดยการจ้างสาวๆใส่บิกินี่ไปแกล้งทำเป็นถ่ายทำอยู่อีกฟาก และจ้างคนแก่แต่งเป็นแม่ชีหลายๆคนแล้วแกล้งทำเป็นไปถ่ายอยู่อีกฟาก เพื่อให้จุดที่ถ่าย Tom Cruise ปลอดคน และแน่นอนมันได้ผล
- Mission: Impossible ภาค 3 ผู้กำกับ J. J. Abrams ได้รับคำแนะนำจาก Steven Spielberg ให้ Ethan Hunt รับส่งข้อมูลผ่านกล้องถ่ายรูปแบบคลาสสิค
- นักดนตรีที่ทำเพลงธีมในซีรีส์ Mission: Impossible ต้นฉบับยุค 60s บางคนถูกว่าจ้างให้มาร่วมงานทำเพลงธีมให้หนังชุดนี้เพื่อความขลัง
- นักแสดง Dermot Mulroney มีอาชีพรองเป็นมือเชลโล่ เขาได้ร่วมทำเพลงธีมให้หนังภาค 3, 4 และ 5
- Tom Cruise ชื่นชอบ Carrie-Anne Moss จากหนัง Suspect Zero มากๆ เขาวางแผนจะนำเธอมาเล่นใน Mission: Impossible ภาค 3 ผู้กำกับ Joe Carnahan วางบทของเธอไว้แล้ว แต่เมื่อเขาถอนตัว และ J. J. Abrams .เข้ามารับไม้ต่อ J. J. Abrams จัดการหั่นบทเธอออกเฉย
- Tom Cruise คือคนที่ผู้กำกับ Guy Ritchie วางตัวรับบท Napoleon Solo ในหนัง The Man from U.N.C.L.E ฉบับรีเมค แต่ Tom Cruise ปฏิเสธ แล้วไปทำ Mission: Impossible ภาค 5 ของตัวเอง
- David Fincher คือตัวเลือกแรกในการกำกับภาค 3 เขาวางโครงเรื่องไว้เกี่ยวกับการค้าอวัยวะมนุษย์ในแอฟริกา แต่เขาก็ถอนตัวไปดูแลโปรเจกต์ Lords of Dogtown
- แผนการตลาดในหนังภาค 3 คือ Paramount Pictures คิดแผนสนุกๆ โปรโมทหนังโดยการส่งกล่องปริศนาไปสถานที่ต่างๆ เมื่อเปิดกล่องออกมาจะมีเสียงเพลงธีมที่คุ้นเคยของ Mission: Impossible แต่ปรากฏว่าเกิดเหตุวุ่นวายถึงขั้นต้องปิดโรงพยาบาลขึ้น เพราะคิดว่ากล่องที่ค่ายหนังส่งไปนั้นเป็นระเบิด
- Ang Lee (หลี่อัน) ผู้กำกับชาวไต้หวันเองก็เคยพยายามเดินตามรอย John Woo เพื่อมาเจรจากำกับในหนังภาค 3 เขาวางสคริปต์ถึงเหตุการณ์หยุดการวางระเบิดในสถานที่สำคัญต่างๆของโลก แต่สคริปต์ไม่ผ่านเพราะมันอ่อนไหวเกินไปกับเหตุการณ์ 9/11 ที่ผู้คนยังไม่ลืม
- ผู้กำกับ Oliver Stone เกือบจะได้ทำภาค 2 แต่เขาคิดว่า Tom Cruise ใช้เวลากับหนัง Eyes Wide Shut นานเกินไป เขาจึงไม่รอ
- บท William Brandt ของ Jeremy Renner เคยถูกวางตัวให้ Tom Hardy และ Chris Pine แสดง ตัวละครตัวนี้ถูกวางตัวไว้เพื่อเป็นตัวตายตัวแทนของ Ethan Hunt หากว่าหนังภาค 4 ไม่ทำเงิน ก็จะได้ให้ Tom Cruise วางมือไปเลย ปรากฏว่ามันทำเงินถล่มทลาย Mission: Impossible ได้ไปต่อ และบท William Brandt ก็กลายเป็นแค่สมาชิกคนหนึ่งในทีมของ Ethan Hunt
- โดย Jeremy Renner ถูกใช้วิธีนี้เช่นกันในหนังตระกูล Jason Bourne ดีหน่อยตรงที่ภาคที่เขาแสดงเขาได้โชว์เดี่ยว แต่แล้วหนังก็ได้รับคำวิจารณ์ที่แย่และทำเงินไม่ตรงตามเป้า ผู้สร้างจึงให้ Matt Damon กลับมา
- Edgar Wright , Ruben Fleischer , และ J. J. Abrams เคยถูกวางตัวให้กำกับหนังภาค 4 แต่เป็น Brad Bird ที่ได้กำกับเพราะเขาทำหนังการ์ตูน The Incredibles ได้แอ็คชั่นถูกใจ Tom Cruise มากๆ
- Reza Badiyi ผู้กำกับบรมครูที่เป็นผู้สร้างสรรค์ซีรีส์ต้นฉบับ Mission: Impossible ได้ถูกว่าจ้างมาเป็นที่ปรึกษาในหนังภาคแรก แต่ผู้กำกับ Brian De Palma ยืนกรานกับ Reza Badiyi ตรงๆว่า ฉบับหนังจะแตกต่างออกไปจากซีรีส์มากๆ การที่ Reza Badiyi เข้ามาช่วย จะทำให้ทีมงานอึดอัด Reza Badiyi ขอบคุณที่ Brian De Palma พูดตรงๆกับเขา และ Reza Badiyi ก็ลาออกจากโปรเจกต์ แมนๆกันดี
- Peter Graves กับ Martin Landau สองนักแสดงในเวอร์ชั่นซีรีส์ไม่ชอบหนังฉบับรีเมค เพราะบทของพวกเขาถูกตัดออก พวกเขาบอกว่ามันไม่ใช่ Mission: Impossible มันเป็นแค่หนังแอ็คชั่นของ Tom Cruise
- หนังภาคแรกคือหนังเรื่องสุดท้ายในโลกที่ถูกทำออกมาในรูปแบบเทป Betamax (เก่ากว่าม้วนวิดีโอ)
อัลบั้มภาพ 8 ภาพ