[เปิด Netflix มารีวิว] Aftermath บ้านใหม่ บ้านแตก บ้านผีสิง?
Aftermath ผลงานการกำกับของปีเตอร์ วินเทอร์ส ส่งตรงฉายทางสตรีมมิ่ง Netflix เล่าเรื่องราวของนาตาลี ดาดิช (แอชลีย์ กรีเน่) ดีไซเนอร์ไฟแรงที่ตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกับเควิน ดาริช (ชอว์น แอชมอร์) แฟนหนุ่มผู้ทำงานพาร์ทไทม์เป็นคนทำความสะอาดบ้านที่เคยเกิดอาชญากรรมพร้อมกับเรียนต่อไปพร้อมๆกัน
ทั้งสองคนได้ตัดสินใจย้ายเข้ามาอยู่บ้านสุดโมเดิร์นหลังจากที่เจ้าของเก่าตัดสินใจขายต่อ โดยบ้านหลังนี้เคยมีประวัติคนเสียชีวิตในบ้าน และพบว่ากล้องวงจรปิดทุกตัวเกิดเสียพร้อมกันในวันเกิดเหตุ แต่ด้วยราคาที่ล่อตาล่อใจประกอบกับความครบครันของบ้านที่นอกจากจะดูสวยทันสมัย มีสระว่ายน้ำ ห้องต่างๆแบบออกเป็นสัดเป็นส่วนทำให้เควินตัดสินใจที่จะผ่อนบ้านหลังนี้โดยไม่แยแสกับประวัติความเป็นมา
แน่นอนว่าเมื่อมันเป็นหนังสยองขวัญ ตัวละครเหล่านี้มักจะไม่เคยหลาบจำว่าสถานที่ใดก็ตามที่เคยมีประวัติน่ากลัว หรือ ราคาถูกจนผิดปกตินั้นมักจะมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลตามมาเป็นของแถมหลังจากย้ายเข้าไปอยู่เสมอ ซึ่งตัวละครที่มักจะประสบเหตุที่ชวนหัวลุกมักจะเป็นตัวละครผู้หญิง ที่กลายเป็นบ้าอยู่คนเดียว เมื่อเธอพยายามจะอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นให้กับคนใกล้ตัวได้ฟังจนท้ายที่สุดแล้ว เธออาจจะกลายเป็นบ้าอยู่คนเดียว
ประเด็นคือ Aftermath เป็นหนังสยองขวัญในหมวดบ้านผีสิงที่มาพร้อมกับปรากฏการณ์ประหลาดที่หาคำตอบไม่ได้อาทิ ประตูในบ้านเกิดเปิดและปิดเอง สิ่งของสามารถเคลื่อนที่ได้ทั้งที่ไม่มีใครอยู่ หรือแม้กระทั่งเสียงคนอยู่ในบ้านทั้งที่มีคนอยู่ในบ้านแค่เพียงสองคน หรือแม้กระทั่งหนังสือโป๊ที่ถูกสั่งซื้อมาอย่างปริศนา แต่เมื่อเหตุการณ์ดำเนินไปเรื่อยๆหนังได้เริ่มเผยให้คนดูเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นตกลงแล้วเป็นอาการจิตหลอน ผีสาง หรือเป็นอะไรกันแน่
การนำเสนอเรื่องราวอันแสนซ้ำซากที่คอหนังสยองขวัญเคยดูมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนใน Aftermath อาจจะไม่ใช่ปัญหาหลัก เพราะในส่วนนี้หนังยังคงสร้างความตื่นเต้นเร้าอารมณ์ได้กำลังพอเหมาะพอดี แต่การปูเรื่อง วกไปพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ (ซึ่งสามารถตัดทอนออกได้) จนทำให้หนังมีความยาวถึง 1 ชั่วโมง 54 นาที ทั้งที่มันสามารถรวบรัดตัดตอนให้หนังสั้นกระชับมากกว่านี้ กลายเป็นจุดบอดประการสำคัญซึ่งอาจจะทำให้ใครหลายคนตัดใจเปลี่ยนเรื่องกันไปก่อน
อย่างไรก็ตามความน่าสนใจของ Aftermath คือบทหักมุมที่อธิบายปรากฏการณ์ประหลาดในบ้านหลังนี้ แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องใหม่แต่มันก็พอจะทำให้คำโปรยของหนังที่ว่า “ดัดแปลงมาจากเรื่องจริง” ดูน่าสนใจและชวนขนหัวลุกได้มากขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว