[รีวิว] KATE - พล็อตรวมฮิตเป็นญาติหนัง John Wick
หากไล่เลียงหนังแอ็กชั่นที่มีผู้หญิงเป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องตั้งแต่ ‘La Femme Nikita’ ปี 1990 ของผู้กำกับลุค เบซง (Luc Besson) มาจนถึง ‘Atomic Blonde’ ปี 2017 ของผู้กำกับ เดวิด ลีตช์ (David Leitch) เราจะเห็นพัฒนาการที่มีนัยสำคัญในเชิงการนำเสนอความแข็งแกร่งแข็งแรงที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ในรอบ 30 ปีนี้ตั้งแต่การนำเสนอสัญชาตญาณนักฆ่าท่ามกลางโลกอาชญากรรมและการเมืองของผู้ชายในหนังเรื่องแรกจนถึงการต่อกรกับความฉ้อฉลทางการเมืองที่ส่งผลให้สายลับสาวต้องหนีตายเอาตัวรอดในเรื่องต่อมา
และไม่เพียงพัฒนาการในส่วนของเนื้อหาเท่านั้นแต่การออกแบบฉากต่อสู้ก็มีการเปลี่ยนแปลงจากแค่การโคโรกราฟ (Choreograph) หรือออกแบบท่าทางในฉากแอ็กชั่นที่มีหัวหอกเป็นหนังไต้หวันอย่าง ‘Come Drink With Me’ หรือ ‘หงส์ทองคะนองศึก’ปี 1966 หนังกำลังภายในของยอดผู้กำกับคิง ฮู (King Hu) ที่ตอกย้ำภาพผู้หญิงในฐานะฮีโร่หรือนักสู้ในโลกภาพยนตร์ได้เด่นชัดที่สุดมาจนถึงยุคหลังหนัง ‘John Wick’ ตั้งแต่ปี 2014 ที่ลีตช์หนึ่งในผู้กำกับได้แยกออกมาทำหนังแอ็กชั่นสายลับสาวอัดอะดรีนาลีนใน ‘Atomic Blonde’
สำหรับ ‘KATE’ ของผู้กำกับเซดริค นิโคลาส โทรยัน (Cedric Nicolas-Troyan) ที่เคยมีผลงานกำกับหนังใหญ่อย่าง ‘The Huntsman : Winter War’ เมื่อปี 2016 ก็แทบจะเดินตามรอยหนังแอ็กชั่นดัง ๆ ในอดีตตั้งแต่การให้ เคท (รับบทโดย แมรี เอลิซาเบธ วินสเตด – Mary Elizabeth Winstead) รับบทนักฆ่าที่ถูกเลี้ยงดูโดย วอร์ริก (รับบทโดย วูดดี ฮาเรลสัน) เพื่อรับงานสังหารโหดตามใบสั่งก็แทบจะตามรอย ‘La Femme Nikita’ ของเบซงอยู่แล้ว หนังยังให้เคตถูกวางยาพิษให้ตายใน 24 ชั่วโมงจนอดนึกถึง ‘Crank’ หนังคัลต์แอ็กชั่นปี 2006 ที่เจสัน สเตแธม (Jason Statham) แสดงไม่ได้
จนเหมือนบทหนังของ อูแมร์ อาลีม (Umair Aleem) แทบจะเป็นการรวมฮิตพลอตหนังแอ็กชั่นดังในอดีตมายัดไว้ในหนังเรื่องเดียวเพื่อเปิดทางให้ขายฉากบู๊สไตล์ ‘John Wick’ ที่หนังก็ได้โปรดิวเซอร์เจ้าของงานอย่างเดวิด ลีตช์มาคุมงานสร้าง ซึ่งมันนำมาซึ่งความคาดหวังไม่น้อยว่าตัวหนังจริงคงเน้นขายฉากแอ็กชั่นนันสต็อปสไตล์เดียวกับหนังที่ถือเป็นต้นแบบหรืออย่างน้อยก็ได้ความบันเทิงแบบดิบ ๆ เถื่อน ๆ สะใจสายฮาร์ดคอร์อยู่บ้าง
ซึ่งหากตัดเกรดกันที่ฉากแอ็กชั่นเราก็พร้อมให้ A หรืออย่างน้อยก็ B+ ให้มันได้ไม่ยากล่ะครับหากเอาเกณฑ์ที่ความโหด ความมัน ความแปลกประหลาดและความแหวะจากการเห็นผิวหนังทะลุหรือเลือดทะลัก แต่สำหรับหนังความยาว 106 นาทีที่แม้ไม่ได้ถือเป็นหนังยาวแต่มันก็ยังต้องอาศัยดราม่าหรือความสัมพันธ์ของตัวละครเป็นตัวขับเคลื่อนให้คนดูได้เอ็นจอยกับหนังในมิติอื่น ๆ อยู่ดี
ซึ่งเท่าที่เราจะพอจำแนกได้ก็แบ่งเป็น 3 คนที่เคตเข้าไปมีความสัมพันธ์ทั้งเชิงบวกและพร้อมบวก… โดยคนแรกที่หนังกล่าวถึงได้แก่วอร์ริกที่เหมือนเป็นครอบครัวเดียวของเคตทั้งในด้านการเลี้ยงดูและการเป็นนายจ้างสายตรง แต่หนังกลับเสียเวลาไปกับการปูพื้นหลังความสัมพันธ์นี้ทั้งเรื่องจนหลายครั้งก็ขัดจังหวะหนังที่กำลังไต่ระดับไปสู่จุดสูงสุด ผลลัพธ์เลยทำให้อารมณ์เดือด ๆ ของหนังแผ่วลงอย่างช่วยไม่ได้แม้สุดท้ายหนังจะเพิ่มความซับซ้อนในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ทว่ามันกลับไม่ได้เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด
คนต่อมาที่หนังดูจะเน้นมากเป็นพิเศษคือตัว อานิ (รับบทโดย มิคุ แพทริเชีย มาร์ติโน – Miku Patricia Martineau) หลานสาวหัวหน้าแก๊งยากูซ่าซึ่งแม้ตัวมาร์ติโน นักแสดงสาวน้อยจะมีเสน่ห์มากแค่ไหนแต่บทหนังที่พยายามเขียนให้เธอเป็นเด็กสาวเรื่องมากก็อาจทำให้คนดูบางคนรำคาญได้ ส่วนมิตรภาพที่ปูไว้ระหว่างเคทกับอานิและความซับซ้อนในความสัมพันธ์ก็ยังทำให้คนดูเชื่อได้ไม่มากพอที่จะคล้อยตามเท่าที่ควร
มาถึงคนสุดท้ายคือ เรนจิ (รับบทโดย อาซาโน ทาดาโนบุ – Tadanobu Asano) มือขวาของบอสใหญ่อย่าง คิจิมา (รับบทโดย คุนิมุระ จุน – Jun Kunimura) ก็ดูไร้มิติอย่างสิ้นเชิงแม้จะมีความโหดเหี้ยมอำมหิตสไตล์ยากูซ่า แต่ก็ดูไร้ที่มาที่ไปแม้เป็นตัวร้ายที่หนังพยายามใส่มาเพื่อให้เห็นเหรียญสองด้านของแก๊งยากูซ่าและนำไปสู่ฉากเลือดสาดตอนท้ายเรื่องแต่กลับกลวงโบ๋ไม่มีเนื้อไม่มีหนังอะไรให้คนดูจดจำนัก
จุดที่น่าเสียดายที่สุดคงหนีไม่พ้นความทุ่มเทของแมรี เอลิซาเบธ วินสเตดนี่แหละที่เราเห็นความทุ่มเทในการแสดงฉากแอ็กชั่นทั้งรูปร่างที่เทรนมาจนหุ่นดูแข็งแรงแต่เชปสวยงาม ท่าท่างที่ถูกออกแบบมาให้เหมือนมือปืนมืออาชีพไปจนถึงคิวบู๊แสดงศิลปะการต่อสู้ที่ดูก็รู้ว่าฝึกฝนมาไม่น้อย จนถือได้ว่าท่ามกลางความไม่สมเหตุสมผลและความยืดเยื้อของจังหวะหนังก็มีวินสเตดนี่แหละครับที่พอจะทำให้คนดูยึดเกาะกับหนังได้บ้าง แม้บทจะมีปัญหาแค่ไหนแต่นางก็แบกคาแรกเตอร์ไว้ได้อย่างมืออาชีพจริง ๆ และยังทำให้ฉากแอ็กชั่นของหนังออกมาดูดี ดูเดือดชดเชยกับช่วงเวลาที่เสียไปกับการเล่าเรื่องไม่เป็นเรื่องของหนังไปได้เยอะเลย
ทิ้งท้ายกันที่เกร็ดเบื้องหลังเล็กน้อยของ ‘KATE’ ที่น่าจะทำให้คนไทยยิ้มออกนั่นคือตัวหนังได้มาถ่ายทำที่บ้านเราด้วยนะครับโดยเป็นการปรับพื้นที่ที่มีอยู่แล้วให้กลายเป็นบางส่วนของกรุงโตเกียวเท่าที่สังเกตก็มีซอยตรงข้ามศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์และถนนข้าวสารที่ถูกดัดแปลงให้เป็นตรอกของตลาดมุราคาวะ กับถนนตรงแถวซอยรางน้ำที่ถูกดัดแปลงให้เป็นถนนยามค่ำคืนของโตเกียว โดยจากข้อมูลของโพสต์ของเพจ กรมการท่องเที่ยว บนเฟซบุ๊กกองถ่ายของ ‘KATE’ ได้นำเม็ดเงินเข้าบ้านเราร่วม 400 ล้านบาทจากการปักหลักถ่ายทำถึง 2 เดือน
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส