[เปิด Netflix มารีวิว] Into the Night SS2 หลบดวงอาทิตย์ สติก็หลบมุม

[เปิด Netflix มารีวิว] Into the Night SS2 หลบดวงอาทิตย์ สติก็หลบมุม

[เปิด Netflix มารีวิว] Into the Night SS2 หลบดวงอาทิตย์ สติก็หลบมุม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ความสนุกแบบลุ้นสุดตัวจากซีซั่นแรกคือเหตุการณ์ส่วนใหญ่ทั้งเรื่องเกิดขึ้นอยู่บนเครื่องบิน แถมยังมีความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากนายทหารอย่างเทเรนซิโอ้ที่ช่วงชิงปืนมาข่มขู่ให้นักบินต้องนำเครื่องขึ้นฟ้าเพื่อหลบแสงอาทิตย์ แน่นอนว่าตลอดทั้งซีซั่นเราจะได้เห็นตัวละครบาดเจ็บล้มตาย ก่อนที่จะนำไปสู่บทสรุปที่ว่ายังมีผู้รอดชีวิตบางส่วนลี้ภัยอยู่ในหลุมหลบภัยใต้ดินซึ่งมีเหล่าทหารนาโตบัญชาการอยู่

เหตุการณ์ในซีซั่นที่ 2 เล่ากระโดดต่อจากตอนท้ายซีซั่นแรกเป็นเวลา 9 วัน เปิดโอกาสให้คนดูเห็นว่าชีวิตใต้ผืนโลกนั้นอบอ้าวและร้อนจนคนดูรู้สึกเหนียวตัวแทน เมื่อเรื่องราวดำเนินไปสักระยะเราจะได้เห็นความไม่ลงรอยกันระหว่างผู้ลี้ภัยจากเครื่องบินและพลทหารที่มองว่า ผู้รอดชีวิตเหล่านี้เป็นส่วนเกินและทำให้อาหารของพวกเขาร่อยหรอก่อนเวลา

ความน่าหงุดหงิดตลอดซีซั่นนี้คือวิธีการตัดสินใจของตัวละครในเรื่อง ที่เราจะไม่กล่าวหาว่าพวกเขาโง่ เพราะเราเชื่อว่ามนุษย์มีวิธีคิดที่หลากหลายในการหาทางออกของปัญหา แต่ที่เราตั้งข้อสงสัยคือ ทำไมในเมื่อพื้นที่แวดล้อมของหลุมหลบภัยและสนามบินมีระยะห่างกันพอสมควร การขับรถผ่านถนนน่าจะต้องเดินทางผ่านเขตพื้นที่ชุมชนที่น่าจะพอหาอุปกรณ์ยังชีพ หรือไม่ก็อุปกรณ์ในการขุด เจาะ ตัด ซึ่งระหว่างทางของเรื่องก็มีตัวละครที่ออกนอกหลุมหลบภัยและไปเจอบ้านของประชาชนที่ยังมีอาหารเหลืออยู่ระหว่างทางเช่นกัน จึงนำไปสู่คำถามที่ว่า ทำไมตัวละครในเรื่องถึงต้องคิดอะไรที่ “ใหญ่” และดูตระหนกเกินกว่าเหตุไปเยอะมากๆ ในหลายครั้งหลายตอน

วิธีการกำหนดบทบาทของตัวละครใน Into the Night ยังค่อนข้างวางคาแรกเตอร์ให้มีลักษณะจำเพาะ อาทิ ทหาร บ้าอำนาจ เสพย์ติดความรุนแรงและเชื่อว่าผู้บัญชาการของตัวเองสั่งอะไรก็ต้องเชื่อทั้งหมด มีอุดมการณ์แน่วแน่เป็นหนึ่งเดียว หรือคนที่มีอาการทางจิตมักจะนำมาซึ่งปัญหาอันน่าปวดหัว เป็นต้น ซึ่งซีรีส์ก็หยิบสิ่งเหล่านี้เอามาสร้างเป็นปมขัดแย้งที่นำไปสู่สถานการณ์ต่างๆมากมายในเรื่อง ไม่ว่าจะไปในทิศทางที่อยากจะเอาใจช่วย หรือชวนเกาหัวอยู่ว่าทำไมตัวละครนี้ถึงตัดสินใจทำอะไรแบบนั้นด้วยเช่นกัน

สิ่งที่น่าเสียดายคือความกระชับกระฉับกระเฉงของซีซั่นแรก ที่เหมือนเรากำลังดูหนังทริลเลอร์ที่มีคนกำลังจี้ปล้นเครื่องบิน (แต่เปลี่ยนตัวร้ายเป็นแสงอาทิตย์แทน) ในซีซั่นนี้การมีอยู่ของดวงอาทิตย์ทำหน้าที่เป็นแค่เพียง “ความชั่วร้าย” เชิงนามธรรมที่ทำให้มนุษย์ไม่อาจจะใช้ชีวิตบนผืนโลกในยามกลางวัน แต่เปิดโอกาสให้เราได้เห็นความชั่วร้ายในอีกรูปแบบที่มนุษย์กระทำต่อกันเป็นสิ่งทดแทน ซึ่งเชื่องช้าและเฉื่อยกว่า

ถามว่ายังดูสนุกไหม ก็ยังสนุกดี แต่ชอบซีซั่นแรกมากกว่า

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook