เกร็ดน่ารู้ก่อนไปดู No Time To Die กับ 007 ภาคล่าสุด
หนังลำดับที่ 25 ในแฟรนไชส์ 007
No Time To Die กลายเป็นภาคต่อที่เล่าเรื่องราวสืบเนื่องมาจาก Spectre (2015) หลังจากที่บอนด์ (แดเนียล เครก) และแมดเดอลิน สวอนน์ (เลอา แซดู) ขับรถแอสตัน มาร์ติน ดีบีไฟว์ออกไปจากฉากและเป็นการปิดท้ายเรื่องราวในหนังภาคนั้น ดังนั้นคงจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าถ้าหากก่อนจะไปดูหนังภาคนี้ ควรย้อนกลับไปดู Spectre กันซะหน่อยกันลืมว่าความสัมพันธ์ระหว่างบอนด์และแมดเดอลินนั้นเริ่มต้นขึ้นและจะพัฒนาต่อไปในทิศทางไหน
อีกครั้งที่ 007 ในเวอร์ชั่นนี้เป็นมากกว่าหนังสายลับ
ตั้งแต่ที่แดเนียล เครกก้าวเข้ามารับบท 007 ตั้งแต่ Casino Royale (2006) ที่เล่าถึงการก้าวเข้าสู่ชีวิตในฐานะสายลับดับเบิลโอเป็นครั้งแรกของบอนด์ หนังได้ทำให้ผู้ชมเห็นว่าความรักระหว่างเขาและเวสเปอร์ ลินด์ (อีวา กรีน) นั้นได้สร้างบาดแผลและความบอบช้ำไว้มากขนาดไหน ธีมหลักในยุคของเครกจึงมักจะเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขาและผู้หญิงรอบตัวอยู่เสมอ
เหตุการณ์หลังจาก Casino Royale ทำให้ความสัมพันธ์ลุ่มๆ ดอนๆ ของบอนด์กับเอ็มและเอ็มไอซิกส์ รวมไปถึงความเจ็บปวดที่เกิดจากเรื่องราวส่วนตัวที่เปิดเผยโดยโบลเฟลด์ (คริสตอฟ วอลซ์) บอนด์จึงได้ยอมเสี่ยงอีกครั้ง เขาลดเกราะกำบังตัวเองลงกับแมดเดอลิน เพื่อพยายามที่จะมีความรักอีกครั้ง
ความไว้เนื้อเชื่อใจล้วนแล้วแต่เป็นอุปสรรคในการทำภารกิจของบอนด์มาโดยตลอด เพราะบาดแผลที่เขาเคย “ให้ใจ” กับผู้หญิงคนหนึ่งและสูญเสียเธอไป การจะเปิดประตูให้กับความรักครั้งใหม่จึงไม่ใช่เรื่องง่าย No Time To Die จึงเริ่มต้นขึ้นด้วยการที่บอนด์ต้องสะบั้นความสัมพันธ์ที่ยาวนานที่สุด นั่นคือการทำงานของเขากับเอ็มไอซิกส์
แครี โจจิ ฟุกุนากะ ผู้กำกับชาวอเมริกันคนแรกที่ได้กุมบังเหียน
หลังจากที่แครี โจจิ ฟุกุนากะได้รับแสงสปอตไลท์จากหนังดราม่า Beasts of No Nation ในปี 2015 รวมไปถึงการนั่งแท่นมือเขียนบทให้กับหนังสยองขวัญดัดแปลงมาจากนวนิยายดังของสตีเฟ่น คิง อย่าง IT ในปี 2017
ตัวฟุกุนากะเริ่มผูกพันกับ 007 มาตั้งแต่ A View To A Kill ผลงานเรื่องส่งท้ายของโรเจอร์ มัวร์ ในฐานะบอนด์ และกลายเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ก็ตามที่ครั้งนี้ เขาเองก็ได้รับหน้าที่ผู้กำกับในการบอกเล่าเรื่องราวส่งท้าย การสวมบทเป็นบอนด์ของแดเนียล เครกด้วยเช่นกัน
ชีวิตต้องดำเนินต่อไป
เหตุการณ์ในหนังภาคนี้เกิดหลังจากภาค Spectre เป็นเวลา 5 ปี แต่ถึงอย่างนั้นโลกในจักรวาลของเจมส์ บอนด์ ไม่ได้ถูกเจาะจงว่าอยู่ในห้วงเวลาใดอย่างชัดเจน ดังนั้นทีมงาน มือเขียนบทและผู้กำกับเองจึงเลือกจะสร้างความคลุมเครือผ่านบทสนทนาของตัวละคร รวมไปถึงให้รายละเอียดที่ผู้ชมควรจะรู้เข้าไป ก่อนที่จะสร้างเงื่อนไขให้กับหนังว่า ตัวร้ายในหนังภาคนี้จะสร้างสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่โลกใบนี้จะพบเจอ และให้ตัวเอกอย่างบอนด์ทำหน้าที่ในการหยุดยั้งสิ่งดังกล่าวให้ได้
สิ่งที่คนดูได้ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างบอนด์และแมดเดอลิน สวอนน์ ที่ไปด้วยกันไม่ได้และต่างแยกย้ายไปมีชีวิตของตัวเอง เวลาที่ผ่านเลยไปข้างหน้าถึงห้าปี ทำให้ชีวิต ความคิดของแต่ละคนแปรเปลี่ยนไปเช่นกัน สถานการณ์ทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป โลกที่พัฒนาไปข้างหน้า แม้บอนด์จะวางมือจากการเป็นสายลับ แต่เมื่อภัยคุกคามครั้งใหม่ยังเกี่ยวข้องโยงใยกับองค์กรสเป็คเตอร์ ทำให้บอนด์ถูกดึงตัวกลับมาร่วมงานกับเอ็มไอซิกส์ป้องกันไม่ให้อาวุธร้ายแรงตกไปอยู่ในมือคนอื่นอีกครั้ง
ส่งท้ายบทบาทบอนด์ของแดเนียล เครก
No Time To Die คือการผจญภัยครั้งที่ 5 ของเครก ในขณะเดียงกันนี่ก็เป็นครั้งสุดท้ายด้วยที่เขาจะรับบทบาทเป็น 007 เอกลักษณ์อันโดดเด่นของบอนด์ในยุคที่เครกสวมคาแรกเตอร์นั้นสะท้อนให้ผู้ชมเห็นว่า ถึงเขาจะมีความชำนาญในบางเรื่อง แต่เขาก็ยังเปี่ยมไปด้วยจุดอ่อนในแบบที่มนุษย์พึงจะมี เขาไม่ได้แกร่งเป็นซูเปอร์ฮีโร่ ในฐานะคนธรรมดาเขามีเรื่องราวที่ต้องเรียนรู้อยู่ตลอด เขามีทั้งด้านสว่างและด้านมืด เป็นทั้งคนที่มีเสน่ห์น่าค้นหาและมีความคุกคามไปพร้อมๆกัน
ตลอดระยะเวลากว่าสิบปี ผู้ชมได้ร่วมสังเกตความเปลี่ยนแปลงของสายลับ 007 ได้เห็นเขาได้รับใบอนุญาตสังหาร ทำความเข้าใจว่ากว่าที่จะมาถึงจุดนี้ เขาต้องแลกความเป็นส่วนตัวอะไรบ้าง แม้บอนด์จะดูเป็นคนรักสันโดษแต่จริงๆแล้วเขาก็พร้อมจะเปิดใจอยู่เสมอ เขาเคยมีความรักและสูญเสียมันไป ดังเช่นที่เขาเคยสูญเสียคนสำคัญอย่างเวสเปอร์ ลินด์และเอ็ม การเดินทางของเขาระหว่าง Casino Royale, Quantum Of Solace, Skyfall, Spectre และ No Time To Die ในตอนนี้เป็นไปอย่างสม่ำเสมอ ธีมสำคัญๆ ปรากฏเด่นชัด และมันก็ยังคงดำเนินไป และในครั้งนี้มันจะเป็นการขมวดปมชีวิตของบอนด์ ในการสวมบทบาทของเครกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดด้วยเช่นกัน