Eternals ทำเงินเปิดตัวสูงสุดเป็นอันดับ 4 ในอเมริกาประจำปีนี้
แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีการประมาณการรายได้เปิดตัวสุดสัปดาห์ของ Eternals เอาไว้ที่ 82-102 ล้านเหรียญฯ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings สามารถทำรายได้สุดสัปดาห์อยู่ที่ 75 ล้านเหรียญฯ (แม้ว่าตอนแรกหลายคนสบประมาทหนังเอาไว้ด้วยซ้ำว่าหนังอาจจะเข้าขั้นเปิดตัวน่าผิดหวัง แต่ก็กลายเป็นความพลิกล็อคแบบถล่มทลายเมื่อหนังทำเงิน และได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์และคนดู)
อย่างไรก็ตามกลายเป็นว่าเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา Eternals ทำเงินเปิดตัวอยู่ที่ประมาณ 71 ล้านเหรียญฯ ซึ่งกลายเป็นหนังทำเงินสูงสุดสามวันแรกเป็นอันดับที่ 4 ในยุคโควิดระบาด โดยในบรรดาหนังเปิดตัวแรงประจำปีนี้ประกอบไปด้วยหนังมาร์เวลสองเรื่องก่อนหน้าอาทิ Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings และ Black Widow และยังรวมไปถึงหนังภาคต่อที่หยิบคาแรกเตอร์ออกมาจากจักรวาลสไปเดอร์แมนอย่าง Venom: Let There Be Carnage ด้วยนั่นเอง
ปัจจัยหลายประการที่ทำให้ Eternals เปิดตัวได้เงียบเหงากว่าหนังมาร์เวลหลายๆเรื่องอาจจะประกอบไปด้วย เหตุผลที่ว่านี่เป็นหนังที่มีความยาวถึง 2 ชั่วโมง 37 นาที เป็นรองแค่เพียง Avengers: Endgame ที่มีความยาวทั้งสิ้น 3 ชั่วโมง 1 นาที เท่านั้น
เหตุผลประการถัดมาคือหนังได้รับคำวิจารณ์จากนักวิจารณ์ส่วนใหญ่ค่อนข้างแย่ นอกเหนือไปจากนี้หนังยังได้คะแนนเฉลี่ยจากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes อยู่ที่ประมาณ47-50% ซึ่งถือว่าเป็นหนังมาร์เวลที่ได้รับมะเขือเน่าเพียงไม่กี่เรื่อง
นักวิจารณ์จะค่อนข้างเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าการที่ได้ผู้กำกับรางวัลออสการ์อย่างโคลอี้ จ้าวมาดูแลภาพรวมของหนังนั้น เธอยังไม่สามารถบริหารจัดการตัวละครซูเปอร์ฮีโร่ที่มีถึง 10 ตัวและเล่าออกมาภายในหนังเรื่องเดียวได้อย่างราบรื่น การกระจายบทหรือบอกเล่ารายละเอียดของตัวละครบางตัวยังเป็นปัญหา ยังไม่รวมไปถึงมุกตลกรายทางที่ไม่ค่อยฮาตามประสามาร์เวลสักเท่าไหร่ และท้ายที่สุดคือหนัง “สนุกน้อย” กว่ามาตรฐานหนังมาร์เวลทั่วๆไป
อย่างไรก็ตามด้วยความที่หนังเรื่องนี้พะยี่ห้อและนามสกุลของมาร์เวล ได้ผู้กำกับดีกรีออสการ์และพ่วงทีมนักแสดงชื่อดังไม่ว่าจะเป็น เจมม่า ชาน, ริชาร์ด แมดเดน, ซัลม่า ฮาเย็ค, แองเจลินา โจลี่, แบร์รี คีโอกัน, คูเมล นานจิเอนี, ไบรอัน ไทรี เฮนรี, ดอน ลี, ลอเรน ริดลอฟฟ์ และลีอา แม็กฮิว ทำให้หนังมีความน่าสนใจอยู่ในตัวเอง ประกอบกับการเป็นหนังที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของซูเปอร์ฮีโร่ในยุคสมัยก่อนเหล่า Avengers จะถือกำเนิดทำให้หนังมีความน่าสนใจอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว
สำหรับหนังดังที่ครองตำแหน่งแชมป์ในสัปดาห์ก่อนคือมหากาพย์สงครามการเมืองอวกาศอย่าง DUNE ซึ่งตอนนี้ทำเงินในอเมริกาไปแล้วที่ 83 ล้านเหรียญฯ และทำรายได้ต่างประเทศไปอีก 246 ล้านเหรียญฯ ทำให้รายรับรวมจากทั่วโลกอยู่ที่ 330 ล้านเหรียญ หนังเป็นผลงานการกำกับของ เดนิส วิลล์เนิฟดัดแปลงมาจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของ แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต โดย DUNE ถือเป็นหนังที่เปิดตัวในโรงภาพยนตร์พร้อมกับเข้าฉายทางสตรีมมิ่ง HBO Max ไปพร้อมๆกัน ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ผู้ชมอยากจะดูในโรงภาพยนตร์มากกว่าเนื่องจากหนังถ่ายทำในสเกลที่ยิ่งใหญ่เหมาะกับการชมบนจอ IMAX อย่างไรก็ตามตอนนี้ทางสตูดิโออย่างวอร์เนอร์บราเธอร์ได้แถลงออกมาแล้วว่าโครงการสร้างภาคต่อของ DUNE:Part 2 นั้นกำลังอยู่ในขั้นตอนเตรียมการถ่ายทำ มีกำหนดการณ์เปิดกล้องในช่วงซัมเมอร์ปี 2022
จะเห็นได้ว่านโยบายทางการตลาดของวอร์เนอร์ที่ตัดสินใจส่งหนังลงสตรีมมิ่ง HBO Max พร้อมๆกับการฉายในโรงภาพยนตร์ในวันเดียวกันถือเป็นนโยบายทางการตลาดที่ทำให้รายได้ของหนังลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยหลังจาก DUNE แล้วหนังเรื่องสุดท้ายที่จะอยู่ภายใต้นโยบายนี้คือ The Matrix Resurrections ภาคที่ 4 ของแฟรนไชส์ที่ทิ้งห่างจากภาคสุดท้าย The Matrix Revolutions ถึง 18 ปี
สำหรับอีกหนึ่งหนังแฟรนชายส์ 007 เจมส์ บอนด์อย่าง No Time To Die ที่จะฉายในโรงเป็นสัปดาห์สุดท้ายก่อนจะมีกำหนดปล่อยหนังให้เช่าทางสตรีมมิ่งในช่วงสัปดาห์หน้า ตอนนี้หนังสามารถทำเงินในอเมริกาเหนือไปแล้วที่ 143 ล้านเหรียญฯ ทำรายได้ในต่างประเทศอีก 524 ล้านเหรียญ ทำให้รายรับรวมของหนังเรื่องนี้อยู่ที่ 667 ล้านเหรียญฯ
สำหรับ Venom: Let There Be Carnage ที่ยืนโรงฉายในอเมริกามาหลายสัปดาห์ตอนนี้ หนังทำเงินในประเทศอยู่ที่ 197 ล้านเหรียญฯ ตลาดต่างประเทศทำเงินไปแล้ว 227 ล้านเหรียญฯ ทำให้รายรับรวมจากทั่วโลกอยู่ที่ 424 ล้านเหรียญฯ ส่วนในประเทศไทยหนังมีกำหนดเข้าฉาย 2 ธันวาคมที่จะถึงนี้
ทางด้านแอนิเมชั่นอย่าง Ron's Gone Wrong ที่เข้าฉายในอเมริกาเมื่อสัปดาห์ก่อน (พร้อมๆกับไทย ส่วนไทยฉายได้สัปดาห์เดียวก็ออกจากโรงอย่างรวดเร็ว ตอนนี้หนังทำเงินในอเมริกาอยู่ที่ 17 ล้านเหรียญฯ ในต่างประเทศอีก 28 ล้านเหรียญฯ ส่งผลให้ยอดรวมอยู่ที่ 46 ล้านเหรียญฯ
จะเห็นได้ว่าบรรดาหนังฟอร์มยักษ์ในอเมริกาเริ่มกลับมาทำเงินอีกครั้ง สะท้อนให้เห็นว่าตลาดโรงภาพยนตร์ในอเมริกาผู้ชมกำลังกลับมาเสพย์ประสบการณ์การชมภาพยนตร์กันอีกครั้ง ในขณะที่เมืองไทยการเปิดโรงหนังและผู้คนเริ่มกลับเข้าโรงภาพยนตร์อีกครั้ง ถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่วัฒนธรรมการเข้าโรงภาพยนตร์กำลังจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง