Halloween Kills ไมเคิล ไมเออร์สฆาตกรมัจจุราชคืนชีพ
ความสำเร็จของ Halloween ในปี 2018 ผลงานการกำกับของเดวิด กอร์ดอน กรีน และการหวนคืนบทบาทเดิมของเจมี ลี เคอร์ติส ทำให้หนังเรื่องนี้สามารถกวาดเงินรายได้ไปกว่า 250 ล้านเหรียญฯ ทั่วโลก ขึ้นแท่นหนัง Halloween ที่ทำรายได้สูงสุดของแฟรนไชส์ ยังไม่รวมไปถึงคำวิจารณ์ที่ชื่นชมการกลับมาของหนังไล่เชือดในตำนาน ว่ามีเสน่ห์ น่าสนใจ โดยเฉพาะการใช้ตัวเดินเรื่องเป็นผู้หญิงที่ไม่ได้ดีแต่วิ่งกรี๊ดหนีฆาตกรโรคจิตแบบไร้สติอีกต่อไป
เรื่องราวดำเนินต่อทันทีหลังจากเหตุการณ์ในหนังภาคแรกจบ
คืนวันฮาโลวีนยังคงไม่จบสิ้น เราคงยังจำฉากที่บ้านของลอรี่ สโตรคไฟไหม้จนเหี้ยน และไมเคิล ไมเยอร์สนอนจนกองเพลิงอยู่ที่ใต้ถุนบ้าน ไม่กี่นาทีหลังจากที่ผู้หญิงผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้ทั้ง ลอรี สโตรด (เจมี่ เคอร์ติส), คาเรน ลูกสาวของเธอ (จูดี้ กรีเออร์) และอัลลิสัน หลานสาวของเธอ (แอนดี้ มาติชัค) มีลางสังหรณ์ว่าฆาตกรเลือดเย็นยังคงไม่ตาย หลังจากที่พวกเธอเห็นรถดับเพลิงวิ่งสวนทางกับรถพยาบาลที่พวกเธอถูกนำตัวส่งไปรักษาที่โรงพยาบาล
อาการปางตายของลอรี่ และความไม่มั่นใจว่าสุดท้ายแล้วเธอสามารถจัดการกับฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนเธอมาตลอดชีวิตได้แล้วหรือยัง แต่ดูเหมือนว่าเมื่อไมเคิลสามารถหนีรอดมาจากกองเพลิง พิธีกรรมนองเลือดครั้งใหม่ได้กลับมาดำเนินหน้าต่อในทันที ขณะที่ลอรี่พยายามต่อสู้กับความเจ็บปวดทางร่างกายและเตรียมตัวในการรับมืออีกครั้ง เธอได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับชาวเมืองในแฮดดอนฟิลด์ลุกขึ้นมาสู้กับอสูรกายภายใต้หน้ากากตนนี้ พวกเขาจึงตั้งตัวเป็นศาลเตี้ยในการตามล่าไมเคิล และความชั่วร้ายทั้งหมดจะต้องจบลงในคืนนี้
เรื่องราว 3 ภาคในค่ำคืนเดียว
อันที่จริงแล้วผู้กำกับเดวิด กอร์ดอน กรีน เคยวาดฝันไว้ว่าเขาอยากจะสร้างเรื่องราวของ Halloween ให้เป็นหนังไตรภาค โดยทั้งสามภาคนั้นจะต้องเกิดขึ้นอยู่ในค่ำคืนเดียวกันทั้งหมดและมีความเชื่อมโยงแค่หนังในเวอร์ชั่นของจอห์น คาร์เพนเตอร์ในปี 1978 เท่านั้นโดยไม่มีซีเควลภาคอื่นๆที่เคยมีการสร้างกันมาก่อนหน้านี้เข้ามาเกี่ยวข้อง
สิ่งที่คนดูจะได้สัมผัสมาจากยิ่งขึ้นจาก Halloween Kills คือคนดูจะได้รับความรู้สึกจากภาคต่อที่บ้าคลั่งยิ่งขึ้น ร้ายกาจกว่าเดิม อัดแน่นไปด้วยความตื่นเต้น แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือการพยายามสร้างชีวิตชีวาของเมืองแฮนดอนฟิลด์ให้มากกว่าเดิม
ตลอดมาเราอาจจะยังไม่ได้มีโอกาสไปทำความรู้จักกับผู้คนในเมืองแฮนดอนฟิลด์ หนังในภาคนี้จึงเปิดโอกาสให้ทีมงานและผู้ชม ได้ไปสำรวจผลกระทบระยะยาวจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญตั้งแต่ที่ลอรี่กลายเป็นผู้รอดชีวิตในปี 1978 ต่อภาพรวมในสังคมในเมืองนี้ ถ้าหากหนังในภาคแรก (ปี 2018) ที่ทำการสำรวจว่าไมเคิล ได้สร้างบาดแผลให้กับชีวิตครอบครัวของลอรี่อย่างไร ใน Halloween Kills จะเป็นการขยายมุมมองของผู้คนในเมืองแฮนดอนฟิลด์ทั้งผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ในปี 1978 และคนอื่นๆด้วย
ความน่าสนใจของตัวละครสมทบ
ถ้าใครยังไม่ลืมตัวละครเจ้าหน้าที่แฟรงค์ ฮอว์กินส์ (วิล แพตตัน) ในหนังภาคแรกเขาถูกแทงโดยดร. ซาร์เทน จิตแพทย์ของไมเคิลไมเออร์ส แต่เขายังไม่ตาย! ตัวละครนี้ได้รับการช่วยชีวิตเอาไว้และถูกนำส่งโรงพยาบาลทันเวลา ความจำเป็นที่ตัวละครนี้ยังต้องมีชีวิตอยู่เพื่อจะสานต่อเรื่องราวในอดีตที่ว่า เมื่อสมัยที่ฮอว์กินส์ยังเป็นตำรวจหนุ่ม (โธมัส แมนน์)อยู่นั้น เขามีโอกาสที่จะได้ลงมือฆ่าไมเคิล แต่เขาก็ตัดสินใจไม่ลงมือ ประเด็นนี้เองเปิดโอกาสให้หนังภาคนี้ได้ทำการสำรวจจิตใจตัวละครตัวอื่นๆอีกจากครอบครัวสโตรคด้วย
นอกจากนี้เรายังมีบรรดาผู้รอดชีวิตจากคมมีดของไมเคิลในปี 1978 อาทิทอมมี ดอยล์ (แอนโธนี ไมเคิล ฮอลล์) และ ลินด์ซีย์ วอลเลซ (ไคล์ ริชาร์ดส์) โดยทั้งสองคนนั้นเป็นเด็กที่ยังไม่ประสีประสาและอยู่ในบ้านตอนที่พี่เลี้ยงเด็กอย่างแอนนี่ แบร็กเก็ตถูกไมเคิลฆ่าตาย เมื่อทอมมี่ทราบข่าวว่าไมเคิลได้กลับมาออกอาละวาดในคืนฮาโลวีนอีกครั้ง เขาจึงผันตัวเองให้กลายเป็นผู้นำชาวเมืองแฮดดอนฟิลด์และทำภารกิจในการปิดบัญชีกับฆาตกรคนนี้ให้จงได้
ส่วนลินด์ซีย์ วอลเลซหลังจากที่เธอรอดชีวิตมาจากเงื้อมือของไมเคิลได้ช่วยสร้างกลุ่มช่วยเหลือตนเอง ซึ่งเป็นกลุ่มผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ในปี 1978 พวกเขาติดต่อกันและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
การย้อนเวลาไปมาระหว่าง 2 ช่วงปี
เหตุการณ์ใน Halloween Kills จะเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้กลับไปสำรวจบ้านของไมเคิลในช่วงเวลาปี 1978 ทำให้กองถ่ายนี้ถึงกับต้องสร้างบ้านของไมเคิลขึ้นมาใหม่ด้วยเช่นกัน หรือมิคส์ บาร์ ที่ปรากฏอยู่ในหนังเวอร์ชั่นออริจินัล อันเป็นสถานที่พบปะกันของผู้คนในเมืองแฮดดอนฟิลด์ สาเหตุที่ทีมงานให้ความสำคัญกับรายละเอียดเรื่องสถานที่อันเป็นฉากหลังเหล่านี้ นอกจากจะเพื่อพาผู้ชมที่ดูหนังในเวอร์ชั่นต้นฉบับหวนกลับไปรำลึกความหลังแล้ว ยังเปิดโอกาสใช้สถานที่เหล่านี้แนะนำตัวละครใหม่ที่ก้าวเข้ามามีบทบาทในหนังภาคนี้ เป็นทั้งการเชื่อมโยงอดีตและปูเรื่องราวครั้งใหม่ด้วยนั่นเอง