The Matrix Resurrections แด่ความรักที่ผู้ชมรอคอยมาถึง 19 ปี

The Matrix Resurrections แด่ความรักที่ผู้ชมรอคอยมาถึง 19 ปี

The Matrix Resurrections แด่ความรักที่ผู้ชมรอคอยมาถึง 19 ปี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

บทความนี้มีการเปิดเผยเรื่องราวใน The Matrix Resurrections หากคุณยังไม่ได้รับชมกรุณาปิดบทความนี้ไปก่อน

 

ดูเหมือนว่า The Matrix นั้นจะกลายเป็นหนัง “ล้าสมัย” สำหรับเหล่าวัยรุ่นยุคใหม่ที่เติบโตมาพร้อมกับหนังมาร์เวลเสียแล้ว วัดได้อย่างชัดเจนจากความหนาแน่นของผู้ชมในโรงภาพยนตร์สัปดาห์ที่ผ่านมาและการพูดถึงตัวหนังทางโซเชียลมีเดีย ที่ดูเงียบเหงาและดูจะถูกสไปเดอร์แมนกลบมิด

The Matrix สามภาคแรก เป็นเหมือนบทบันทึกสำคัญในช่วงต้นปี 2000 ที่นอกจากจะนำเสนองานเทคนิคด้านภาพอันแสนน่าตื่นตาตื่นใจแล้ว มันยังผนวกปรัชญาที่ตั้งคำถามว่า ความจริงคืออะไร บางที่สิ่งที่เราเชื่อว่าเป็นจริงอาจจะเป็นแค่เพียงโลกสมมติ (เฉกเช่นใน The Matrix) เจตจำนงเสรีว่าด้วยอิสระในการเลือกกระทำสิ่งที่มนุษย์ต้องการนั้นมีอยู่จริงหรือเปล่า

จุดเด่นของหนังไตรภาค อยู่ตรงที่สไตล์การกำกับคิวบู๊ที่สดใหม่ในเวลานั้น ในการนำศิลปะการต่อสู้แบบกังฟู มาใช้กับเทคนิคการเคลื่อนกล้องแบบ Bullet Time Scene ที่กล้องจะเคลื่อนที่แบบสไลว์โมชั่นไปรอบๆวัตถุที่ถูกจับภาพ จนกลายเป็นนวัตกรรมอันน่าตื่นตะลึง ยังไม่รวมไปถึงการใช้โทนสีเขียวๆอันเป็นโลกจำลองของเดอะเมทริกซ์ ส่วนโลกมนุษย์แห่งความเป็นจริงที่ตกอยู่ภายใต้การคุกคามของจักรกลนั้นเป็นโทนสีทึมๆให้ความรู้สึกหดหู่

การมาถึงของ The Matrix Resurrections แน่นอนว่าผู้ชมที่เป็นฐานของหนังภาคนี้คือต้องดูหนัง 3 ภาคแรกมาก่อน ดังนั้น “ภาพจำ” ของไตรภาคเมื่อ 19 ปีก่อนที่ยังติดตรึงไว้ในความทรงจำ ยังคงเป็นสิ่งที่ผู้ชมมองหาในหนังภาคล่าสุด ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าหนังภาคนี้ไม่ได้สร้าง “นวัตกรรมใหม่” ใดๆขึ้นมาก นอกเสียจากจะเป็นการย้อนกลับไปเสียดสีหนังไตรภาคพร้อมกับเล่าประเด็นที่จับต้องได้และมีความ “ส่วนตัว” มากขึ้นนั่นคือความรักระหว่างนีโอและทรินิตี้

ด้วยความยาวกว่า 2 ชั่วโมงครึ่งของหนัง ทำให้ช่วงแรกหนังหลอกล่อผู้ชมด้วยการทำให้เราเห็นโลกเดอะเมทริกซ์ในยุคสมัยใหม่ โทนสีภาพไม่เป็นสีเขียวตุ่นๆแบบในไตรภาคชุดเดิม มีการเปิดตัวละครใหม่อย่างบั๊กส์ (เจสสิก้า เฮนวิก) ที่มาพร้อมกับสีผมฟ้าสดสะดุดตา ผู้กำลังหนีตายจากการไล่ล่าของเหล่าเอเจนท์ เธอกำลังพบว่าเดอะเมทริกซ์กำลังมีการเขียนภาพซ้ำบางอย่างในระบบของตัวเองขึ้นมา

ขณะเดียวกันหนังภาคนี้ยังให้รายละเอียดอีกว่าโทมัส แอนเดอร์สัน (คีอานู รีฟฟ์) ในวัยกลางคนเขาประกอบสัมมาชีพเป็นโปรแกรมเมอร์ผู้ออกแบบเกม The Matrix ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเกมก็คือหนังทั้งสามภาคแรกที่เราเคยได้รับชมไปนั่นเอง ทว่าชีวิตของโทมัสที่เหมือนจะไปได้สวย เขากลับต้องไปพบจิตแพทย์ (นีล แพทริก แฮริส) อยู่เสมอๆเนื่องจากอาการเห็นภาพหลอนเสมือนจริง ทั้งที่จริงแล้วเหตุการณ์เหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้น จนกระทั่งวันหนึ่งโทมัสได้พบกับทิฟฟานี่ (แครี่ แอนน์ มอส) คุณแม่ลูกสามที่ร้านกาแฟ ซึ่งทั้งสองคนมีความรู้สึกอันแปลกประหลาดราวกับว่าทั้งสองเคยรู้จักกันมาเมื่อนานมากแล้ว

ไม่นานนักคนดูก็ได้ทำความเข้าใจว่า หลังจากนีโอที่สละชีวิตตัวเองไปแล้วดินแดนจักรกลในภาค The Matrix Revolutions พร้อมๆกับถูกทำให้ตาบอดไปแล้ว แท้ที่จริงเขายังคงมีชีวิตอยู่ โดยบรรดาเครื่องจักรได้นำตัวเขาไปทำการรักษา ก่อนที่จะทำการทดลองและนำเขากลับไปอยู่ในโลกของเดอะเมทริกซ์อีกครั้ง เช่นเดียวกันกับทรินิตี้ ที่นอนอยู่ในรังดักแด้ฝั่งตรงข้าม

การตื่นขึ้นและได้รับรู้ความจริงอีกครั้งของนีโอ ว่าชีวิตของโทมัส แอนเดอร์สันและภาพที่เขาได้เห็นจากเกมที่ตัวเองสร้างขึ้นนั้น แท้ที่จริงแล้วมันคือชีวิตของเขาที่เคยเกิดขึ้นจริงมาแล้วทั้งสิ้น แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าอยู่ที่ช่วงเวลาสั้นๆที่ปรากฏอยู่ในเรื่อง ในช่วงที่เราได้เห็นภาพสะท้อนในกระจกของตัวนีโอเอง ว่าใบหน้าของเขาเป็นชายแก่หัวหงอก (ไม่ใช่หน้าของคีอานู รีฟฟ์) เช่นเดียวกันกับใบหน้าของทรินิตี้ที่เป็นหญิงวัยกลางคน ราวกับสะท้อนให้ผู้ชมตีความได้ว่า ไม่ว่าปัจจัยภายนอกจะเปลี่ยนไปแค่ไหน กาลเวลาจะผันผ่านเพียงใด แต่เมื่อเรารักใครสักคน จะสามารถมองไปเห็นถึง “เนื้อใน” ที่เราสัมผัสได้ผ่านความรู้สึกนั่นเอง

จริงแล้วไตรภาคชุดแรกเองความรักระหว่างนีโอและทรินิตี้ถูกกล่าวถึงอยู่ตลอดเวลาแต่น้ำหนักจริงๆของเรื่องดูจะให้กับความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักรเป็นหลัก ทำให้การเสียสละชีวิตของนีโอกับทรินิตี้ดูเหมือนเป็นพล็อตรองไป แต่เมื่อเรื่องราวใน The Matrix Resurrections นั้นเผยกันโต้งๆเลยว่าระบบเดอะเมทริกซ์ที่มีการอัพเกรดระบบให้ทันสมัยขึ้น ก็ต้องการพลังงานใหม่ๆที่ช่วยขับเคลื่อนกระบวนการดังกล่าวด้วย และพลังงานที่ทรงคุณค่านั้นดันกลายเป็นพลังงานระหว่างที่นีโอและทรินิตี้มีต่อกัน นั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่เครื่องจักรกลพยายามหล่อเลี้ยงชีวิตของคนทั้งสองไว้นานกว่าหลายสิบปีที่ผ่านมา

ช่วงเวลาที่สำคัญของเรื่องคือการที่ตัวละครอย่างทรินิตี้ได้ปลดแอกตัวเองออกจากระบบเดอะเมทริกซ์และ “ตื่นรู้” ว่าจริงๆแล้วยังมีอะไรบางอย่างที่รอเธออยู่ โดยที่มีนีโอเป็นคนที่พยายาม “เชื่อมั่น” ในตัวของทรินิตี้ คล้ายกับภาพย้อนกลับในไตรภาคชุดแรกที่ทรินิตี้จะเป็นคนที่คอยบอกนีโอเสมอว่า เขาคือ “เดอะวัน” หรือผู้ปลดปล่อย ในหนังภาคนี้สิ่งที่นีโอทำไม่ต่างจากทรินิตี้เลย เพียงแค่สลับเพศสลับบทบาทเท่านั้นเอง

จากสิ่งเหล่านี้เราอาจจะพอสรุปได้เลยว่า ความรักที่ตัวละครทั้งสองมีให้กันนั้นคือสิ่งที่เป็นพลังงานบริสุทธิ์และนำพาชีวิตของพวกเขาให้หลุดพ้นจาก การถูกจองจำอยู่ภายในระบบวนลูปในเดอะเมทริกซ์ การได้ตื่นขึ้นของนีโอและทรินิตี้สู่โลกแห่งความเป็นจริง คือภาพตอนจบที่คนดูหนังในไตรภาคชุดแรกเคยอยากเห็นแต่ไม่มีโอกาสจะได้เห็นมาก่อน ตอนนี้ The Matrix Resurrections ได้มอบตอนจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งที่คนดูรอคอยมานานแสนนานเสียที

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook