[เปิด Netflix มารีวิว] The Unforgivable ก้าวหนึ่งที่เคยพลั้งพลาด
The Unforgivable บอกเล่าเรื่องราวของรูธ สลาเตอร์ (แซนดร้า บลูล็อค) โดยเธอเพิ่งจะพ้นโทษออกจากเรือนจำ หลังจากก่ออาชญากรรมฆ่านายอำเภอจนเสียชีวิต การรับโทษเป็นเวลาถึง 20 ปีในคุกสายบัว ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับการออกมาเริ่มต้นชีวิตครั้งใหม่
สำหรับการหางานทำเพื่อเลี้ยงดูตัวเอง ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกเช่นกัน เพราะการถูกตีตราว่าเป็นอาชญากรมือสังหาร ทำให้คนอื่นในสังคมหวาดกลัว แต่ในที่สุดรูธได้เข้าทำงานที่โรงงานชำแหละปลา และในขณะเดียวกันเธอเองยังมีความพยายามที่จะติดต่อน้องสาวที่พลัดพรากจากกันไปตั้งแต่ก่อนเธอเข้าคุก
ความพยายามของรูธในการตามหาน้องสาวเริ่มต้นตั้งแต่การเดินทางกลับไปยังบ้านหลังเก่า สถานที่ซึ่งเกิดเหตุอาชญากรรมอันเป็นต้นตอของเรื่องราวทั้งหมด แต่เมื่อเดินทางไปถึง รูธกลับพบว่าบ้านหลังนี้ได้มีครอบครัวใหม่ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ โดยหัวหน้าครอบครัวอย่างจอห์น อินแกรม (วินเซนต์ โดโนฟริโอ้) ผู้ประกอบอาชีพทนาย รับรู้ได้ถึงความทุกข์จากดวงตาของรูธ ทำให้เขาได้มอบนามบัตรและเปรยเอาไว้ว่า ถ้าหากรูธต้องการความช่วยเหลือ เขาก็ยินดีที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเธอ
ระหว่างทางของเรื่อง ผู้ชมจะค่อยๆได้รับรู้เหตุการณ์ในอดีตทีละเล็กทีละน้อย ผ่านห้วงความทรงจำของรูธ ว่าจริงๆแล้วเหตุการณ์ที่เธอสังหารนายอำเภอนั้น เกิดขึ้นมาจากสาเหตุอะไรกันแน่ และทำไมการติดคุกเป็นเวลากว่า 20 ปี ถึงได้เปลี่ยนให้เธอกลายเป็นคนที่ไม่สามารถไว้วางใจสิ่งใดๆรอบๆตัวได้เลย
แน่นอนว่า The Unforgivable มาพร้อมกับการแสดงของแซนดร้า บูลล็อคที่พิสูจน์ได้ว่า นอกจากในยุคหนึ่งเธอจะเป็นเจ้าแม่หนังรอม-คอม แต่เมื่อเธอเติบโตขึ้น (และเคยได้รับรางวัลออสการ์มาแล้วจาก The Blind Side ในปี 2009) ผลงานการแสดงของเธอยังเรียกได้ว่า คงเส้นคงวาและไม่เคยทำให้เราผิดหวัง ในห้วงเวลาที่เธอถ่ายทอดความเจ็บปวดจากการถูกตีตราว่าเธอเป็นนักโทษ ฉากที่เธอเดินน้ำตาซึมออกมาจากร้านอาหาร หลังจากที่เธอได้บอกความจริงกับเบลค (จอน เบิร์นธัล) เพื่อนร่วมงานที่เหมือนจะแอบมีใจให้รูธ แต่เขาก็เกิดอาการ “อึ้ง กิมกี่” หลังจากที่ได้ฟังความจริงจากปากรูธ เป็นอีกหนึ่งฉากที่แทบไม่ต้องจะอธิบายอะไรมากมาย แต่การแสดงของแซนดร้า ได้มอบความรู้สึกผิดหวัง เสียใจ และสิ้นหวังได้พร้อมๆกันในเวลาเดียว ให้กับผู้ชมเข้าใจได้ทันที
ถึงแม้ว่า The Unforgivable จะดัดแปลงมาจากมินิซีรีส์สัญชาติอังกฤษเรื่อง Unforgiven แต่ด้วยความเก่าของงานต้นฉบับในปี 2009 และดูเหมือนว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนังก็ไม่ได้มีความร่วมสมัยมากมายนัก แต่ในความเชยของตัวหนังนี่เอง อาจจะทำให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ สามารถกลับมาย้อนดูได้เสมอๆไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เราก็จะพบว่า บางครั้งโอกาสครั้งที่ 2 ของใครสักคนนั้นเป็นเรื่อง “น้อยนิด แต่มหาศาล” มากจริงๆ เพียงแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ว่า ตกลงแล้วความจริงคืออะไรกันแน่