รีวิว House of Gucci อย่าทำให้ผู้หญิงต้องร้าย
หลังจากที่ประสบความสำเร็จจนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ใน A Star is Born เลดี้ กาก้ากับยิ่งฉายแสงในฐานะ “นักแสดง” มากขึ้น เช่นเดียวกันกับบทแพทริเซีย เร็จเจียนี่ สะใภ้ของตระกูลกุชชี่! ในหนังเรื่องล่าสุดนี้กับ House of Gucci
ตามข้อมูลทางประวัติศาสตร์ เราต่างก็ทราบกันดีว่าแพทริเซีย เร็จเจียนี่ (เลดี้ กาก้า) เป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิด ในการวางแผนสังหารเมาริซิโอ (อดัม ไดรเวอร์) สามีของตัวเอง หลังจากที่ชีวิตคู่ของทั้งสองที่สะบั้นรักลง ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจครั้งใหญ่ของตระกูลกุชชี่ จนข่าวการลอบสังหารครั้งนี้กลายเป็นข่าวครึกโครมระดับโลกในปี 1995
สำหรับ House of Gucci ไม่ได้เป็นหนังที่พยายามเล่าถึงประวัติความเป็นมาของแบรนด์กุชชี่ แต่เน้นไปโฟกัสที่เรื่องราวความรักระหว่างแพทริเซีย เร็จเจียนี่และเมาริซิโอ ตั้งแต่ช่วงเวลาที่ทั้งสองได้พบรักกันจวบจนวันแตกหัก
ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้แทบจะตกอยู่กับการแสดงของเลดี้ กาก้าเป็นหลัก เราจะได้เห็นตั้งแต่ ช่วงเวลาที่เธอเป็นหญิงสาว ทำงานอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์รถบรรทุกของครอบครัว ผู้พยายามตะกายฝันไปคว้าดาว เมื่อเธอได้กับเมาริซิโอ้ กุชชี่ ทันทีที่เธอได้ยินนามสกุลของเขา เธอก็เกิดอาการหูผึ่งและพยายามจะทำทุกวิถีทางที่จะทำให้ฝ่ายชายเกิดอาการสนใจ ถึงกับต้องลงทุน “แจกเบอร์โทรศัพท์” ให้กับเมาริซิโอ้เลยทีเดียว
หลังจากความรักเริ่มเบ่งบาน และเมื่อจังหวะเข้าที่เข้าทางประจวบเหมาะกับที่อัลโด้ (อัล ปาชิโน) กำลังมองหาคนมาช่วยดูแลแบรนด์กุชชี่ หลังจากที่แพทริเซียพยายามจะโน้มน้าวให้สามีเธอเข้ามาช่วยงานของตระกูล แน่นอนว่าภายในใจเธอรู้ดีว่า การที่สามีเข้ามาทำงาน ช่วยเปิดโอกาสที่จะนำพาชีวิตเธอให้สุขสบายและเข้าใกล้ความร่ำรวยมากยิ่งขึ้น
สิ่งที่น่าเสียดายสำหรับ House of Gucci คือวิธีการดำเนินเรื่องของหนังจัดได้ว่ายวบยาบจนหลายครั้งคงต้องบอกว่า “น่าเบื่อ” อย่างเต็มปากเต็มคำ เช่นเดียวกันในส่วนของการแสดงของเลดี้ กาก้าและจาเรด เลโต้ก็จัดได้ว่า “เล่นใหญ่” จนหลายครั้งหลายครา ค่อนข้างออกแนวอีโล้งโช้งเช้ง ตัวอย่างเช่นฉากงานเดินแฟชั่นที่โดนตำรวจบุกทลาย และฉากส่งเอกสารฟ้องหย่า น่าจะพอทำให้คุณผู้อ่านที่ชมภาพยนตร์มาแล้วเห็นภาพ
สิ่งที่น่าสนใจในหนังเรื่องนี้ก็ยังมีให้เราเห็นได้ตามรายทาง ไม่ว่าจะเป็นวาทะเชือดเฉือนของตัวละครอัลโด้ที่พยายามตักเตือนแพทริเซีย ในฐานะสะใภ้ ว่าแนวคิดและการให้คำปรึกษาของเธอนั้นเปรียบเสมือนการข้ามหัวผู้ใหญ่ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วสิ่งที่แพทริเซียพยายามทำนั้นคือความพยายามจะกอบกู้แบรนด์กุชชี่ให้ไม่ตกยุคและก้าวต่อไปได้ตามสมัยนิยม แต่ใครจะไปคิดว่าคำว่าการด่าทอครั้งนี้จะนำพาคนในตระกูลกุชชี่ไปสู่จุดแตกหักที่ไม่มีวันหวนคืนได้ตลอดกาล
เรื่องราวเหล่านี้จึงเป็นคติเตือนใจคนในแวดวงการทำงานว่า “อย่ากดหัวใครจนทำให้เขาเหล่านั้นเจ็บช้ำน้ำใจและน้ำตาตกใน เพราะไม่รู้ว่าวันหนึ่งเขาจะหวนย้อนกลับมาแก้แค้นเราหรือเปล่า”