Love and Leashes ด้วยรักและ BDSM ที่ "ล่าม" เราสองเอาไว้
Love and Leashes อาจจะไม่ใช่การขึ้นจอครั้งแรกของความสัมพันธ์แบบ BDSM แต่การที่หนังเกาหลีจาก Netflix เลือกจะหยิบประเด็นนี้มาเป็นจุดขายหลักของเรื่อง และเคลือบความหวานภายใต้โทนโรแมนติกคอเมดี้ ทำให้หนังเรื่องนี้มีอะไรหลายอย่างที่น่าสนใจกว่าที่คิด
ไม่มีความสัมพันธ์ใดในโลกนี้เท่าเทียมกันอย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อคนสองคนได้พบกัน อำนาจมักจะตกอยู่ในมือของคนใดคนหนึ่งเสมอ คือประโยคเปิดฉากให้กับเรื่องราวของ Love and Leashes เมื่อชองจีฮู (อีจุนยองจาก U-KISS) ว่าที่รองผู้จัดการประชาสัมพันธ์คนใหม่ที่เพิ่งย้ายมาจากแผนกการตลาด และชองจีอู (ซอฮยอนจาก SNSD) พนักงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่มีมาดขรึม นิ่งแต่ทำงานเก่ง ด้วยชื่อที่ออกเสียงคล้ายกันมาก ทำให้วันหนึ่งเมื่อพัสดุที่จีฮูสั่งมาเกิดส่งผิดมือไปยังจีอู คงไม่มีอะไรเป็นเรื่องใหญ่โต ถ้าหากสิ่งของในกล่องนั้นไม่ใช่ “ปลอกคอ” อุปกรณ์สำหรับทำกิจกรรม BDSM
เมื่อจีฮูกลัวว่าทางฝ่ายจีอูจะรู้สึกไม่สบายใจที่เขามีรสนิยมทางเพศที่ดูผิดแผกไปจากกรอบของสังคม เขาจึงพยายามปรับความเข้าใจ แต่โชคดีที่ทางฝั่งจีอูเอง ดูเหมือนจะพยายามเปิดใจมากกว่าที่คิด จนนำไปสู่ข้อเสนอที่จีฮูพยายามวิงวอนขอร้องให้จีอูเป็น “นายหญิง” ของเขา
ในสถานที่ทำงานจีฮูดำรงตำแหน่งรองผู้จัดการแผนกด้วยความเป็นมืออาชีพ ปฏิบัติงานกับเพื่อนร่วมงานอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย แต่เมื่อหมดวันชายหนุ่มและหญิงสาวได้ก้าวเข้าสู่โลกของ BDSM เพื่อมอบความสุขให้แก่กันและกัน โดยที่มือใหม่อย่างจีอูได้พยายามเปิดโลกทัศน์ที่เธอไม่คุ้นเคยด้วยการเรียนรู้ “รสนิยมทางเพศ” นี้อย่างไม่ตัดสิน แต่ในขณะเดียวกันเธอเองก็เริ่มแยกไม่ออกว่าการที่เธอเป็นนายหญิงอยู่นั้น เธอเริ่มที่จะมอบหัวใจของตัวเองให้กับจีฮูด้วยหรือเปล่า
ก่อนหน้านี้ผู้ชมทั่วโลกอาจจะพอรู้จักเรื่องราวของ BDSM ผ่านหนังรักพันล้านอย่างแฟรนไชส์ Fifty Shades ทั้งสามภาค ว่าด้วยแอนาตาเซียที่พบรักกับหนุ่มหล่อนักธุรกิจระดับพันล้านอย่างคริสเตียน เกรย์ โดยที่เธอมารู้ว่าเขามีรสนิยมทางเพศแบบ BDSM โดยที่เขาจะบังคับให้ “บ่าว” ของตัวเองเซ็นสัญญาว่าจะไม่เปิดเผยความลับนี้ออกไป ความสัมพันธ์รักแบบเจ็บๆของทั้งคู่จึงเริ่มต้นขึ้นและนำไปสู่ความวุ่นวายขึ้นในแต่ละภาค
แฟรนไชส์ Fifty Shades อาจจะหยิบเรื่อง BDSM มาเล่าเป็นธีมหลักก็ตามที แต่ตัวละครอย่างมิสเตอร์เกรย์นั้น ดูไม่ต่างอะไรจากเจ้าชายอสูรใน Beauty and the Beast เขามีความเป็นตัวละครผู้ชายในเทพนิยายมากกว่าจะพบได้ในชีวิตจริง อีกทั้งเนื้อหาเรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดทั้งสามภาค (ทั้งหนังและนิยายเอง) ก็ให้อารมณ์เหนือจริงมากกว่าที่ผู้ชมคนธรรมดาจะพบพานได้ในชีวิตประจำวัน
ขณะที่ Love and Leashes เลือกจะเล่า BDSM ในมุมที่ใกล้ตัวและใกล้เคียงกับชีวิตปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป เมื่อตัวเอกของเรื่องเป็นแค่เพียงพนักงานชนชั้นกลางสองคนในบริษัทผลิตสื่อสำหรับเด็กที่ต้องเผชิญหน้ากับหน้าที่การงาน ต้องแบกรับภาระความรับผิดชอบเอาไว้มากมาย แต่การได้สวมบทบาทในฐานะ “นาย-บ่าว” อันเป็นบทบาทสมมติ เป็นการปลดปล่อยความเครียดในชีวิตและได้โอบรับ “ความสุข” ในแบบที่พวกเขาปรารถนาอีกด้วย
ความน่าสนใจของ Love and Leashes นั้นคือความพยายามในการย่อยเรื่อง BDSM ให้คนนอก (ตัวละครอย่างจีอู) เปรียบเสมือนคนที่กำลังถูกนำพาเข้าไปสู่โลกใบใหม่ ด้วยสายตาแบบทำความเข้าใจและไม่ตัดสิน และแน่นอนว่าหนังเรื่องนี้ก็ยังใส่ตัวละครแวดล้อมประเภทที่ยังคงมองรสนิยมทางเพศแบบ BDSM เป็นเรื่องแปลกประหลาด เป็นความผิดปกติทางจิตเข้ามา เพื่อแสดงให้เห็นว่ายังมีคนอีกไม่น้อยที่ยังไม่ “พยายามทำความเข้าใจ” และตัดสินในสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์
ตัวละครอย่างจีอูพยายามศึกษา BDSM ผ่านโลกไซเบอร์อยู่ตลอดเวลาและแน่นอนว่าอุปนิสัย ความกระตือรือร้นในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ ได้กลายเป็นสิ่งที่ไปมัดใจรองหัวหน้าแผนกอย่างจีฮูเข้าอย่างจัง
จะว่าไปแล้วสิ่งที่น่ากลัวกว่า BDSM ที่ปรากฏขึ้นในเรื่อง คือการที่นางเอกของเรื่องอย่างจีอู ถูกปฏิบัติจากหัวหน้าแผนกที่เป็นผู้ชายด้วยความไม่เท่าเทียมทางเพศ และทุกครั้งที่เธอพยายามนำเสนอไอเดีย หรือแม้กระทั่งแสดงความกระตือรือร้นในการทำงาน เธอมักจะถูกแขวะ จิกกัด หรือไม่ก็จะมีคำติติงกลับมาจากหัวหน้าแผนกอยู่เสมอ หรือการใส่ตัวละครประเภทอีแอบ BDSM มาบังหน้า แต่ความจริงแล้วพวกเขาอยากจะใช้รสนิยมทางเพศแบบนี้เพื่อล่วงละเมิดทางเพศในยามเผลอ (มีเพศสัมพันธ์แบบขืนใจ โดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม)
หนึ่งฉากสำคัญของเรื่องที่นอกจากจะเป็นการบอกเล่า “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” ของตัวละครเอกทั้งสองคือการที่ฝ่ายหญิงตัดสินใจที่จะล่ามโซ่ที่ข้อมือของกันและกัน ก่อนทั้งคู่จะออกไปเดินเล่นในสวนพฤกษศาสตร์และทิ้งกุญแจมือไว้ในรถ มันอาจจะเป็นแค่การเล่นสนุกสร้างความตื่นเต้นสำหรับจีฮู แต่ทางฝั่งจีอูแล้วการตัดสินใจทำเช่นนี้คือการที่เธอมั่นใจแล้วว่า จีอูกล้าที่จะยอมเสี่ยงที่จะโดนคนอื่นมองว่าตัวเธอเองมีรสนิยมทางเพศแบบ BDSM เช่นกัน
ก่อนหนังจะดำเนินไปสู่บทสรุป ที่เราจะขออุบไว้ไม่สปอยล์ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคู่พระนาง Love and Leashes ถือเป็นหนังเกาหลีที่ย่อยโลก BDSM ให้ใกล้ตัวเรากว่าที่คิด พยายามเป็นมิตรกับผู้ชมด้วยการวางให้สถานการณ์ในหนังเป็นเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง และเหนืออื่นใดคือการให้ความหวังกับผู้ชมว่าความรักนั้นสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ถ้าหากต่างฝ่ายต่างเต็มใจที่จะเรียนรู้อีกฝ่ายเช่นกันนั่นเอง