[เปิด Netflix มารีวิว] AI Love You สิ่งเล็กๆ ที่มีค่า ที่เราเรียกว่า "เวลา"
AI Love You เอไอหัวใจโอเวอร์โหลด การหวนคืนบทบาทพระนางคู่ขวัญกันอีกครั้งระหว่าง มาริโอ้ เมาเร่อ และ ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ในหนังโรแมนติก – ไซไฟ ที่มีฉากหลังเป็นโลกอนาคตอันใกล้ เมื่อเอไอประจำตึกดันตกหลุมรักหญิงสาวคนหนึ่ง
ลาน่า (ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก) พนักงานสาวผู้ประกอบอาชีพในเอเจนซีโฆษณา ที่มีชีวิตในแต่ละวันแบบสาวออฟฟิศทั่วไป และแน่นอนว่าเธอยังโสดอยู่ ในโลกอนาคตที่เอไอ เป็นหุ่นยนต์ที่คอยอำนวยความสะดวกทุกอย่างให้แก่มนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมระบบไฟฟ้า คิดวิเคราะห์ หรือแม้กระทั่งเป็นเพื่อนคลายเหงาให้กับมนุษย์ ซึ่งเอไอประจำสำนักงานอย่างด๊อบ ตกหลุมรักลาน่า แต่เธอไม่อาจจะรับรักเอไอ เพียงเพราะเธอเชื่อว่าระบบปฏิบัติการอัจฉริยะนั้น ไม่มีสิ่งที่มนุษย์มีนั่นก็คือ “หัวใจ”
ในขณะที่บ๊อบ (มาริโอ เมาเร่อ) หนุ่มหล่อสุดฮ็อต แต่สันดานปากหมาและไร้มารยาท คาดหวังจะผูกสัมพันธ์กับลาน่าเพียงแค่จะจับเธอเป็นคู่นอนเท่านั้น เดทของทั้งคู่จึงจบลงไม่สวยนัก
วันหนึ่งเมื่อบ๊อบ ผู้มีอาชีพเจ้าหน้าที่ในการตรวจระบบเอไอค้นพบว่าโค้ดปฏิบัติการของด๊อบมีความผิดปกติ เขาจึงพยายามจะแก้ไข เมื่อด๊อบขัดขืน ด๊อบจึงฉวยโอกาสนี้จูนระบบความคิดเข้าไปในร่างของบ๊อบเอาซะเลย
สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้คือความพยายามนำเสนอโลกอนาคตของประเทศไทย ที่ใช้ระบบเอไอเข้ามาในชีวิตประจำวันของผู้คน งานเทคนิคพิเศษไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์บนยอดตึก หรือการแทรกสอดการทำหน้าที่ของเทคโนโลยีสมัยใหม่ จัดได้ว่าเป็นไอเดียที่น่าสนใจ แต่งานเทคนิคพิเศษก็ไม่สำคัญเท่ากับเรื่องราวความรัก ระหว่างสิ่งที่เป็นนามธรรม (เอไอ) กับสิ่งมีชีวิตที่เป็นรูปธรรมอย่างมนุษย์ (ลาน่า) เพราะนั่นคือแกนหลักสำคัญของเรื่อง
บริบทความรักที่เกิดขึ้นในหนัง ดูไม่ค่อยจะน่าเชื่อถือสักเท่าใดนัก เมื่อตัวละครอย่างบ๊อบที่ดูเป็นเสือผู้หญิงและมีอุปนิสัยไร้มารยาท จู่ๆจะเกิดความเปลี่ยนแปลงชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้าแบบชั่วข้ามคืน โดยที่ตัวละครอย่างลาน่าแทบจะไม่ฉุกคิดและเกิดความสงสัย ยิ่งทำให้ตัวละครของเธอเบาหวิวและดูจับต้องไม่ได้มากขึ้นเท่านั้น
อย่างไรก็ตามอีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจ คือ “การยึดร่าง” ของเอไอ เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจมาก ถ้าหากหนังจะเลือกไปสำรวจแนวคิดว่า หากไอเอจะมีความรักกับมนุษย์สักคนและเลือกที่จะยึดร่างมนุษย์เพื่อให้ตัวเองมีตัวตนขึ้นมาและสามารถมีความรู้สึก แต่หนังก็ไม่ได้เจาะลึกถึงประเด็นอะไรเหล่านี้มากนัก จนเราไม่อาจจะรู้สึกมีอารมณ์ร่วมตามในฉากสารภาพความจริงของตัวเอในตอนท้าย
น่าเสียดายมากๆที่หนังไอเดียกระฉูดเรื่องนี้ จะเล่าเรื่องสะเปะสะปะมากไปหน่อยโดยเฉพาะองก์หลังของหนัง ที่หลุดโลกไปไกล แม้ว่าเคมีพระนางระหว่างมาริโอ้และใบเฟิร์น ยังถือเป็นส่วนที่ดีที่สุดของเรื่อง แต่นั่นก็ไม่อาจจะโอบอุ้มตัวหนังในภาพรวมให้เรารู้สึกว่ามันเป็นหนังความยาว 90 นาทีที่คุ้มค่าต่อการ “เสียเวลา” รับชมสักเท่าไหร่