Morbius มอร์เบียส เทพบุตรหรืออสูรร้ายแห่งรัตติกาล
จากความสำเร็จของหนังภาคแยกอย่าง Venom ซึ่งเป็นความพยายามของสตูดิโอโซนี่ ในการแตกหน่อตัวละครในจักรวาลสไปเดอร์แมน ให้มีหนังเดี่ยวเป็นของตัวเอง ถึงเวลาแล้วที่ตัวร้ายคู่ปรับระดับไอคอนอีกหนึ่งราย อย่าง Morbius (มอร์เบียส) จะได้มีโอกาสโลดแล่นบนจอเงินเป็นครั้งแรก
ฮีโร่ หรือ วายร้าย
อย่างที่เราทราบกันดีว่า มีเส้นแบ่งอันแสนเบาบางระหว่างความเป็นฮีโร่และอสูรร้าย “ไมเคิล มอร์เบียส” ถือเป็นตัวละครที่มีความขัดแย้งภายในตัวเองสูง เมื่อด็อกเตอร์มอร์เบียส มีอาการป่วยหนักด้วยโรคเลือดที่หายาก ประกอบกับความตั้งใจของเขาเองที่อยากจะช่วยสรรพชีวิตคนอื่นๆที่ต้องเผชิญชะตากรรมแบบเดียวกับเขา
ด้วยความมุมานะมอร์เบียสพยายามทุกวิถีทางในการทดลองเพื่อหาทางออก จนกระทั่งเขาเลือกใช้วิธีการนำเลือดของค้างคาวแวมไพร์มาผสมกับดีเอ็นเอของตัวเองและนั่นได้เปลี่ยนให้เขากลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัว มอร์เบียสกลายเป็นคนที่มีพละกำลังความแข็งแรง ว่องไว และยังมีพลังพิเศษในการระบุตำแหน่งต่างๆด้วยคลื่นเสียง รวมไปถึงการมองเห็นในความมืด โดยการอาศัยคลื่นเสียงรอบตัว เมื่อผ่านไปสักระยะร่างกายของมอร์เบียสเกิดความเปลี่ยนแปลงภายนอก ไม่ว่าจะเป็นจมูกที่รั้นเชิดขึ้น ใบหน้าที่ซูบตอบ รวมไปถึงฟันในปากที่กลายเป็นเขี้ยวคมกริบราวกับค้างคาวดูดเลือด!
จาเร็ด เลโตกับการสวมบทมอร์เบียส
จาเร็ด เลโตได้เคยได้รับรางวัลออสการ์จากการสวมบทเป็นชาว LGBTQ ที่ติดเชื้อ HIV ในหนังเรื่อง Dallas Buyers Club แน่นอนว่าเขามีวิธีการเตรียมพร้อมในการรับบทบาทในตัวละครที่เขารับเล่นอยู่เสมอ เขามักจะเลือกดำดิ่งเข้าไปในตัวละครของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการใช้เวลามากมายในการคิดว่าตัวละครนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร การฝึกถ้อยคำในการพูด พัฒนาความคิดของเขาเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของตัวละคร ซึ่งมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงจากตัวละครที่ร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วย ก่อนที่เขาจะได้รับโอกาสครั้งที่สองในชีวิตอย่างกะทันหัน
สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับตัวละครมอร์เบียส คือห้วงเวลาที่เขากำลังกลายร่าง เมื่อภาพการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ธรรมดาคือความขัดแย้งที่น่าสนใจ ให้ช่วงที่มอร์เบียสมีร่างกายอ่อนแอ เขาได้พยายามจนค้นพบวิธีการรักษา ทำให้เขามีพลังและแข็งแรงอย่างเหลือเชื่อ เหมือนกับว่าตัวเองกำลังประสบความสำเร็จในแนวทางที่ตัวเองพยายามมาทั้งชีวิต แต่กลับกลายเป็นว่าสิ่งเหล่านี้กำลังกลับตาลปัตรและผิดที่ผิดทางไปหมด โดยจังหวะชีวิตตรงนี้นี่เองที่ผู้ชมจะได้ไปทำความรู้จักกับตัวละครนี้มากขึ้น
ตัวร้ายเพื่อนรัก
อีกครั้งที่คนใกล้ตัวได้กลายเป็นคู่ปรับในเวลาต่อมาเช่นเดียวกันกับเพื่อนซี้ที่สุดในชีวิตของมอร์เบียสอย่างไมโล (รับบทโดยแมทท์ สมิธ) แม้ว่าจริงๆแล้วเขาจะมีชื่อจริงว่า “ลูเซียน” ซึ่งมีโรคเลือดแบบเดียวกันกับที่มอร์เบียสเป็น ทั้งสองพบกันในสมัยยังเป็นเด็ก ความป่วยไข้อันเป็นความทุกข์ทำให้ทั้งสองคนเกิดความผูกพันกันในฐานะพี่น้อง
ชีวิตของไมโลนั้นเติบโตมาในตระกูลที่ร่ำรวย ทำให้เขากลายเป็นชายหนุ่มที่มุ่งมั่นจะใช้ชีวิตของตัวเองให้คุ้มค่าและเต็มที่ที่สุดเท่าที่เขาจะเป็นได้ตามประสาคนมีอันจะกิน ดังนั้น เขาจึงสนุกกับชีวิต แม้ว่าตัวเองจะป่วยก็ตาม แต่เขายังคงเต็มที่กับชีวิตและใช้ช่วงเวลาที่ตัวเองสามารถกอบโกยได้ทั้งหมดจากช่วงเวลาสุดท้ายที่เขายังพอจะเหลืออยู่บนโลกใบนี้
ตัวละครอย่างไมเคิล มอร์เบียสถูกขับเคลื่อนด้วยแนวคิดทางวิทยาศาสตร์มาโดยตลอด ในขณะที่ไมโลมีแรงขับมาจากความรู้สึกและศิลปะ ความแตกต่างทางแนวคิดเหล่านี้ยกตัวอย่างเช่น ในขณะที่ไมเคิลกำลังศึกษาโครงสร้างอะตอมและองค์ประกอบของชีวิต ไมโลกำลังดื่มวิสกี้ชั้นเยี่ยม ดูหนังของเบิร์กแมน และรับประทานอาหารที่ไอวี่ เขาดื่มด่ำไปกับการใช้ชีวิตในห้วงเวลาของตัวเอง
อย่างไรก็ตามเมื่อมอร์เบียสได้ตัดสินใจทำการทดลองสุดอันตราย การค้นพบของเขาต้องผ่านการอนุญาตจากไมโล ดังนั้นเมื่อเขาค้นพบวิธีการรักษา (หรือคำสาป) ไมโลกลับขโมยเซรั่มที่มอร์เบียสค้นพบและได้ใช้มันกับตัวเอง
สิ่งที่น่าประหลาดใจคือตัวมอร์เบียสกลับหวาดกลัวในพลังของตัวเอง ตรงกับข้ามกับไมโลที่โอบรับพลังเหล่านั้น และนั่นคือครั้งแรกที่ตัวละครอย่างไมโลได้รู้สึกว่าชีวิตของเขานั้นเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา เป็นอิสระ ร่างกายแข็งแรง ราวกับว่าเขาได้รับพลังจากพระเจ้าหลังจากที่ทุกข์ทรมานกับอาการเจ็บป่วยมาตลอดชีวิตแต่ตอนนี้เขามีอำนาจอยู่ในกำมือของตัวเองแล้วเรียบร้อย
การปลดปล่อยสัตว์ร้าย
แน่นอนว่าเมื่อพลังอำนาจที่ตัวละครหลักทั้งสองได้รับมาอยู่ในตัว มันได้ปลดปล่อยสัตว์ร้ายออกมา ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาถูกเปิดเผย และความแตกต่างทางแนวคิดได้แยกพวกเขาออกจากกัน เมื่อไมโลตัดสินใจจะแก้แค้นบรรดาคนที่เคยทำร้ายเขาไว้ตลอดชีวิต ในขณะที่มอร์เบียสพยายามครุ่นคิดในการใช้พลังของตัวเองมากกว่า
ทว่าในอีกมุมหนึ่งของมอร์เบียสเอง เขาก็ได้แต่แอบหวังว่าตัวของเขาเองจะเป็นแบบไมโลที่ “เต็มที่” กับชีวิตได้มากขึ้น กลับกันไมโลเองก็หวังว่าเขาจะเป็นได้แบบมอร์เบียส นั่นคือการมีสติและจริยธรรม แต่สุดท้ายพวกเขาก็เป็นตัวเองในแบบที่ทั้งสองเป็นมาตั้งแต่เด็ก การทดลองของมอร์เบียสทำให้ไมโลได้รับโอกาสครั้งที่สองในชีวิต และเขาก็ใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้นอย่างมาก มากกว่ามอร์เบียสในหลายๆ ด้าน เขาลงเอยด้วยการเป็นอุทาหรณ์สอนใจ เขาใช้ชีวิตแบบสุดขั้วเท่านั้น เขาไม่สามารถพบเส้นทางสายกลางและก็ไม่ต้องการจะหามันด้วย เขาถูกขังอยู่ในกรงมาตลอดชีวิต และหลังจากที่เขาเปิดตัว เขาก็ไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป
Morbius เข้าฉายในโรงภาพยนตร์แล้ววันนี้