The Contractor เดือดระห่ำ เมื่อกองทัพไม่รักฉันแล้ว

The Contractor เดือดระห่ำ เมื่อกองทัพไม่รักฉันแล้ว

The Contractor เดือดระห่ำ เมื่อกองทัพไม่รักฉันแล้ว
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

มนุษย์ทุกคนเฝ้าฝันที่จะมีงานที่มั่นคง มีอาชีพที่สามารถเลี้ยงดูตัวเอง จุนเจือครอบครัวและมีความสุขกับชีวิต แต่เมื่อทุกอย่างพังทลายลงในพริบตา ความจนตรอกได้บีบให้นายทหารคนหนึ่งต้องรับงานเสี่ยงตาย เพื่อหาเงินก้อนสุดท้ายมาประคองชีวิต

The Contractor เป็นผลงานการกำกับของ “ทาริค ซาเลห์” ผู้กำกับชาวสวีเดน-อียิปต์ที่เคยชนะรางวัล World Cinema Grand Jury Prize ที่ซันแดนส์ที่ 2017 จากผลงานThe Nile Hilton Incident ซึ่งเขาเป็นคนยุโรปที่อยากจะทำหนังในสไตล์อเมริกันดูบ้าง โดยหลังจากที่เขาได้อ่านบทภาพยนตร์ชิ้นนี้ เขาก็อยากจะกำกับมันทันที

ประเด็นหลักในหนังเรื่องนี้มีการพูดถึงเรื่องการเมืองอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะปัญหาเรื่องการเงินของครอบครัวทหารที่ต้องแบกรับความเครียดเมื่อจู่ๆโดนปลดประจำการออกจากกองทัพ ทั้งที่ตัวละครอย่างเจมส์นั้นเชื่อมั่นในประเทศอย่างอเมริกา (ถึงขนาดเขาสักรูปธงชาติเอาไว้บนแขนของตัวเอง) แต่เมื่อวันหนึ่งเขาพบว่าประเทศ (และกองทัพฯ) ไม่ได้รักเขากลับ และสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดคือการกลายเป็นคนไม่เหลืออะไรเลย

หนังเรื่องนี้จึงพูดถึงครอบครัวของชนชั้นกลางชาวอเมริกันที่ไม่มีแม้กระทั่งประกันสุขภาพ รวมไปถึงเงินบำนาญและเมื่อวันหนึ่งเมื่อปราศจากรายได้ โอกาสจะสูญเสียบ้านนั้นก็เป็นไปได้เสมอ เมื่อเกิดการขาดผ่อนค่าเช่า ประกอบการที่ตัวละครเอกของเรื่องอย่างเจมส์ (คริส ไพน์) มีลูกชายและภรรยาที่ต้องกินอยู่ เขาจะหาทางออกอย่างไร ในเมื่อตลอดชีวิตที่ผ่านมา สิ่งที่เขาถนัดและทำได้นั้นคือการสู้รบทำสงครามในฐานะทหารมาทั้งชีวิต เขาจะต้องหางานใหม่ที่ได้เงินเดือนสัก 40,000 เหรียญ หรือได้เงินพอๆกับตอนที่เขายังเป็นทหารคงไม่ใช่เรื่องง่ายในเวลานี้ แต่เมื่อวันหนึ่งมีคนมาเสนอเงินถึงหกหลักให้เขาไปทำภารกิจบางอย่างในฐานะทหารรับจ้าง มีเหรอที่คนจนตรอกแบบเจมส์จะปฏิเสธลง

ย้อนกลับไปในห้วงเวลาของการดำรงตำแหน่งเป็นหน่วยรบพิเศษในกองทัพสหรัฐฯ ฝีมือในการรบของเขาจัดได้ว่าไม่ธรรมดาเพราะผ่านสมรภูมิอย่างอิรัก รวมไปถึงอัฟกานิสถานมาแล้ว เขาอาจจะอาศัยอยู่ในรถเทรลเลอร์กลางป่า ห่างไกลจากครอบครัวเพียงเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บเรื้อรังที่เข่าซ้ายและคงความแข็งแรงของร่างกายเพื่อรอรับงานในภารกิจต่อๆไป จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อการตรวจสภาพร่างกายมาถึง “ผลเลือด” ของเจมส์ถูกพบว่ามีการปนเปื้อนทั่งสเตียรอยด์และฮอร์โมน ทำให้ถูกปลดประจำการกะทันหัน และนั่นเองได้กลายเป็นที่มาของความลำบาก

ในวินาทีที่ตัวละครอย่างเจมส์ถูกปลดประจำการ เราเห็นได้เลยว่าความช็อกและตกใจเกิดขึ้นในแววตาของเขาอย่างทันที แม้ตัวเจมส์จะรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เป็นการ “ล้างไพ่” ของบรรดาทหารชั้นสูงกว่าที่ไม่ต้องการคนที่ร่างกายไม่สมบูรณ์เข้ามาอยู่ในหน่วย แต่ลึกๆแล้วเขากลับรู้สึกว่าสิ่งที่เขาได้รับกลับคืนมาจากการมอบชีวิตทำงานให้กับกองทัพอย่างเต็มที่นั้นช่างสูญเปล่า

ระหว่างที่เขากำลังเยียวยาตัวเองและตั้งหลักใหม่ แม้กำลังใจใกล้ตัวอย่างบรีแอนนา (กิลเลียน เจคอบส์) จะคอยประคับประคองสามีอยู่ก็ตาม แต่เธอก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่า การที่เจมส์ยังไม่ยอมรับงานจากบริษัทเอกชนและหวังอยู่ลึกๆว่าจะได้กลับไปเป็นทหารปฏิบัติการพิเศษนั้นอาจจะก่อให้เกิดอาการซึมเศร้าและลงเอยด้วยการตัดสินใจฆ่าตัวตายแบบเดียวกับพ่อของเจมส์ หลังจากที่ถูกปลดประจำการ

กระทั่งวันหนึ่งการที่เจมส์ได้ไปร่วมงานศพของเพื่อนทหารที่ฆ่าตัวตาย เขาจึงได้พบกับไมค์ เดนตัน (เบน ฟอสเตอร์) อดีตคู่หูเก่าในสมรภูมิรบ เมื่อมีโอกาสได้พูดคุยกันและแลกเปลี่ยนเรื่องราว ไมค์จึงพยายามแนะนำว่าตอนนี้มีงานอะไรที่ได้เงินก็ควรจะทำไปก่อน และนั่นเองทำให้เขาเล่าถึงผู้รับเหมาว่าจ้างชื่อรัสตี้ เจนนิงส์ (คีเฟอร์ ซุทเทอร์แลนด์) ซึ่งเสนอค่าจ้างที่ดี โดยที่เจมส์เองก็แอบรู้อยู่แก่ใจว่างานที่มีค่าตอบแทนที่ดีนั้น ย่อมมาพร้อมความเสี่ยงเช่นกัน

เรื่องราวต่อจากนี้แน่นอนว่ามันอุดมไปด้วยฉากแอ็คชั่น การหักหลัง และการค้นพบความจริงที่ว่าภารกิจที่เขากำลังทำอยู่นั้นอยู่ในพื้นที่สีเทาค่อนเฉดสีไปในทางมืดดำด้วยซ้ำไป แต่เมื่อเขาต้องกัดฟันหาเงิน ความถูกต้องศีลธรรมจึงกลายเป็นเรื่องรองลงมา เราจะเห็นได้เลยว่าในภารกิจที่เขาจะต้องไปจัดการกับเป้าหมายอย่างซาลิม โมห์สิน ศาสตราจารย์วัยเกษียณด้านพยาธิวิทยาที่ทำงานในห้องแล็บส่วนตัว 40 กิโลเมตรทางตะวันออกของเมืองเบอร์ลิน ในวินาทีที่เขาจะต้องฉีดสารพิษเพื่อคร่าชีวิตของซาลิม เมื่อเหยื่อพยายามร้องขอชีวิตและพยายามชี้แจ้งว่า มันคือเรื่องเข้าใจผิด ผลการทดลองของซาลิมคือความพยายามจะช่วยเหลือมวลมนุษยชาติ สิ่งเดียวที่เขาขอคือถ้าหากเขาต้องตาย ก็ขอความเมตตาต่อครอบครัวของซาลิมที่ยังต้องมีชีวิตต่อ

ความรักตัวกลัวตายและคนรักของผู้เป็นพ่ออย่างซาลิม ได้สร้างผลกระทบต่อจิตใจเจมส์ในเวลาเดียวกัน แต่เมื่อภารกิจที่จะทำให้เขาได้เงินคือความตายของซาลิม แม้เขาอาจจะลังเลแต่เมื่อถึงเวลา เจมส์เองก็ไม่รีรอที่จะลงมือ

เอาเข้าจริงแล้ว The Contractor อาจจะฉาบหน้าไปด้วยภาพลักษณ์ของหนังแอ็คชั่นสาดกระสุน แต่จริงๆแล้วหนังกลับพูดถึงความยากลำบากของชนชั้นกลางที่วันหนึ่งกลายเป็นคนไม่เหลืออะไรในชีวิต และต้องเดิมพันชีวิตของตัวเองเพื่อความอยู่รอดของคนในครอบครัว

เอาเข้าจริงชีวิตของตัวละครอย่างเจมส์ก็แทบจะไม่ต่างอะไรจากคนครึ่งค่อนประเทศในประเทศไทยอยู่เหมือนกัน ที่สุดท้ายแล้ว “รัฐ” (ในห้วงเวลาปัจจุบัน)ก็แทบจะไม่เหลียวแลเรื่องสวัสดิการของประชาชนในประเทศอยู่เหมือนกันนะ

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook