[เปิด Netflix มารีวิว] Choose or Die เกมตู้ในชีวิตจริง

[เปิด Netflix มารีวิว] Choose or Die เกมตู้ในชีวิตจริง

[เปิด Netflix มารีวิว] Choose or Die เกมตู้ในชีวิตจริง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หนังสยองขวัญจาก Netflix ว่าด้วยเกมลึกลับที่มีอำนาจในการบังคับให้ผู้เล่น “เลือก” หรือ “ตาย” เท่านั้น โดยตัวเอกของเรื่องต้องหาทางเอาชีวิตรอดจากเกมมรณะนี้ให้ทันเวลา รวมไปถึงค้นหาความจริงที่ว่าใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์สุดสะพรึงครั้งนี้

Choose or Die เป็นผลงานการกำกับของโทบี้ มีกินส์ ผู้กำกับหนังสั้นเลือดใหม่ไฟแรง ที่มาจับงานหนังยาวเป็นเรื่องแรกเพื่อบอกเล่า เรื่องราวของเกมคอมพิวเตอร์ 8 Bit ที่มีระบบป้อนข้อมูลง่ายๆ ตัวเกมจะถามคำถามให้ผู้เล่นต้องเลือกว่าจะแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร อาทิ ตัดลิ้น หรือ ตัดหู โดยผู้เล่นจำเป็นต้องเลือกคำตอบเท่านั้น ไม่เช่นนั้นผู้เล่นจะต้องตาย!

เคย์ล่า (ไอโอล่า อีแวน) สาววัยรุ่นระดับชนชั้นกรรมมาชีพที่ต้องตรากตรำทำงานเป็นภารโรงทำความสะอาดตึก เธอต้องรับผิดชอบแม่ที่ป่วยติดเตียง ลำพังหาเงินเลี้ยงชีพก็แทบจะไม่พอยาไส้ มิหนำซ้ำค่าเช่าห้องโกโรโกโสที่เธอไว้ซุกหัวนอนกับแม่กำลังจะถูกยึด ความลำบากยังไม่ทันหาย ความซวยก็เข้าแทรก เมื่อเธอดันไปเจอเกมคอมพิวเตอร์ที่ชื่อ Curs>r ที่บังคับให้เธอต้องเล่นเกมนรก โดยแต่ละด่านนั้นเธอต้องทำร้ายชีวิตของคนรอบตัวจนแทบหัวใจจะสลาย

แม้หนังจะเล่าเรื่องตามสูตรสำเร็จแบบตัวละครเอกต้องตะลุยด่านความสยองของเกมแต่ละเลเวลแบบไม่มีอะไรเหนือความคาดเดา แต่สิ่งที่น่าสนใจนอกเหนือไปจากความซ้ำซากจำเจ คือการเซทอัพรูปแบบเกม Curs>r ที่เป็นเกมคอมพิวเตอร์สไตล์ยุคแรกเริ่มที่อาศัยการป้อนคำสั่งเพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการ ซึ่งมีความเรียบง่าย ไม่สลับซับซ้อนแต่เมื่อหนังหยิบเอาชีวิตของคนมาเป็นตัวเลือก การตัดสินใจของผู้เล่นจึงยากตามกระบวนการคิดไปด้วย จะว่าไปตอนที่เคย์ล่าต้องเล่นเกมในเลเวลที่ 2 สิ่งที่น่าสนใจในเกมนี้คือ เธอต้องบังคับตัวละครผู้เป็นแม่ให้วิ่งหนีจาก “หนูยักษ์” ในห้องพักของตัวเอง ซึ่งรูปแบบเกมนั้นคล้ายคลึงกับเกมดังอย่าง PAC-MAN ที่ผู้เล่นจะต้องบังคับเจ้าแพคแมนกินจุดให้ครบทั้งตารางและต้องคอยหลบเลี่ยงผีน้อยในการโจมตี

จะเห็นได้ว่าตัวผู้กำกับอย่างโทบี้ มีกินส์ ซึ่งกำกับและเขียนบทร่วมกับไซมอน อัลเลนและแมททิว เจมส์ วิลคินสัน มีความหลงใหลในเกมเกมอาร์เคด (Arcade) และเกมคอมพิวเตอร์ ก่อนจะนำเรื่องราวของคำสาปมาผสมผสานเข้าไป ซึ่งคล้ายคลึงกับการได้อิทธิพลของหนังยุค J-Horror อย่าง The Ring ที่ว่าด้วยอำนาจชั่วร้ายได้ถูกบันทึกลงในสื่อดิจิทัล

แม้หนังจะเล่นจบแบบมีปลายเปิดตามสไตล์หนังสยองขวัญ แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ในตอนจบของเรื่องนั้น บอกความจริงอันแสนโหดร้ายของมนุษย์ที่ว่า เมื่อถึงคราวจนตรอกจนไม่เหลือหนทาง บางครั้งความดีที่สั่งสมมาก็ไม่มีความจำเป็นเท่าความอยู่รอด!

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook