Doctor Strange 2 คุณแม่ผู้แตกสลายกับโอกาสสุดท้ายที่จะมีความสุข
หลังจากที่ Doctor Strange in the Multiverse of Madness เข้าฉายไปตั้งแต่วันพุธที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมา เล่นเอาโรงหนังทั่วประเทศเกือบแตก ห้างรถติดหาที่จอดรถกันไม่ได้ พอจะการันตีได้เลยว่าหนังจากมาร์เวลยังคงไม่เสื่อมมนต์ขลังในการเป็นตัวเรียกแขกกลับมาเยือนโรงภาพยนตร์อีกครั้ง
บทความนี้มีการสปอยล์ เหมาะสำหรับคนที่ชมภาพยนตร์แล้วเท่านั้น
รายชื่อหนังและซีรีส์ที่มีการสปอยล์ในบทความนี้ประกอบไปด้วย Doctor Strange in the Multiverse of Madness, Spider-Man: No Way Home ซีรีส์ WandaVision
หลังจากที่กลายไปเป็นพี่เลี้ยงเด็ก (หรือเปล่า) ใน Spider-Man: No Way Home มาเป็นที่เรียบร้อย เพราะความปรารถนาดีหรือเพราะโดนเจ้าปีเตอร์ พาร์คเกอร์ตื้อไม่หยุดให้สตีเฟ่น (เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์) เสกคาถาเพื่อทำให้คนทั้งโลกหลงลืมว่าปีเตอร์คือสไปเดอร์แมน แต่ระหว่างร่ายคาถาความจ้อไม่หยุดของปีเตอร์ทำให้สตีเฟ่นเผลอเปิดประตูมิติให้เกิดช่องว่างระหว่างจักรวาลจนทำให้บรรดาศัตรูตัวฉกาจจากจักรวาลอื่นหลุดมายังจักรวาลที่ปีเตอร์และสตีเฟ่นดำรงอยู่
ถึง Spider-Man: No Way Home อาจจะเป็นการ “นำร่อง” ความเป็นไปได้ไม่รู้จบ หรือหากเราจะพูดในอีกนัยยะก็คือ ด้วยความกว้างขวางของดิสนีย์ รวมไปถึงความโด่งดังของมาร์เวลที่ทำให้สตูดิโออย่างโซนี่ซึ่งถือครองสิทธ์ในการสร้างภาพยนตร์ที่มีคาแรกเตอร์ของสไปเดอร์แมนถูกสร้างออกมาเรื่อยๆ
ประกอบกับการที่ดิสนีย์สามารถควบรวมเหล่าบรรดาสตูดิโอที่เคยถือครองลิขสิทธิ์ตัวละครของมาร์เวลเอากลับมาอยู่ภายใต้ชายคาของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย ทำให้ค่ายสามารถเล่นสนุกกับการดึงคาแรกเตอร์จากแฟรนไชส์เรื่องต่างๆให้มาปรากฏตัวอยู่ในจักรวาล MCU เพื่อสนองแฟนคลับคอมิกส์มาร์เวล ชนิดที่เห็นแล้วต้องกรี๊ด
การมาถึงของ Doctor Strange in the Multiverse of Madness คือส่วนขยาย ผลลัพธ์จากการที่สตีเฟ่นและอเมริกา ชาเวซ (โซชิลท์ โกเมซ) มีเหตุจำเป็นในการท่องไปในจักรวาลคู่ขนานต่างๆ ซึ่งทำให้ผู้ชมได้เห็นว่าตัวละครต่างๆที่เคยล้มหายตายจากไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหนัง หรือซีรีส์ ล้วนแล้วแต่มีโอกาสกลับมาโลดแล่นมีชีวิตบนจอหนังอีกครั้ง เราจึงพอจะได้ข้อสรุปบางประการว่า ตัวละครมาร์เวลที่เคย “ตายไปแล้ว” พวกเขาอาจจะตายไปจริงๆในจักรวาลหนึ่ง แต่พวกเขาอาจจะยังมีชีวิตอยู่ในพหุจักรวาลก็ได้
ถึงแม้ว่า Doctor Strange in the Multiverse of Madness อาจจะเป็นเรื่องราวของสตีเฟ่น แต่อันที่จริงแล้วความโกลาหลวุ่นวายในหนังภาคนี้ล้วนถือกำเนิดมาจากความสิ้นหวังของวันด้า (อลิซาเบธ โอลเซ่น) ซึ่งได้กลายร่างเป็นสการ์เล็ต วิทช์หลังจากที่เธอผ่านความเจ็บปวด (อีกครั้ง) เมื่อเหตุการณ์ที่เวสต์วิลล์
เหตุการณ์ใน WandaVision ส่วนขยายที่สำคัญต่อหนังเรื่องนี้ ที่ถือได้ว่าถ้าใครยังไม่ได้ดูซีรีส์มาก่อนอาจจะมีคำถามมากมายเกิดขึ้นในหัว ว่าทำไมวันด้าถึงคลุ้มคลั่งและกลายเป็นตัวร้ายที่สตีเฟ่นต้องมาต่อกรด้วยถึงเพียงนี้ หากเราย้อนกลับไปตั้งแต่ Avengers: Age of Ultron วันด้าถือเป็นผู้หญิงที่มีพลังพิเศษจนเหล่าอเวนเจอร์สหลายคนถูกซัดจนหงายมาแล้ว แต่ในแง่ของชีวิตที่เธอเติบโตมา เราจะพบว่าตัวละครนี้ประสบพบเจอแต่ความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า
วันด้าสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเยาว์วัยเพราะการถูกทิ้งระเบิด มิหนำซ้ำเมื่อเธอเติบโตขึ้นก็ยังสูญเสียปิเอโตร พี่ชายไปในเวลาต่อมา จนกระทั่งเธอได้พบรักกับวิชชั่น(พอล เบ็ตตานี่) ในเวลาต่อมา แต่ห้วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์ใน Infinity War และ Endgame ทำให้เธอต้องสูญเสียคนรักไปตลอดกาล
การรับมือกับความเจ็บปวดสำหรับมนุษย์ไม่ใช่เรื่องง่าย สิ่งที่เกิดขึ้นในซีรีส์ WandaVision ทำให้เราเห็นว่าวันด้าเองก็แค่อยากจะมีพื้นที่ความสุขของตัวเอง เธอจึงใช้พลังจิตของตัวเองเป็นเมืองทั้งเมืองให้กลายเป็นโลกในจินตนาการ โลกที่เธอยังมีความสุขกับวิชชั่นในฐานะภรรยาและสามีตามแบบฉบับครอบครัวแสนสุขตามแบบทีวีซีรีส์ที่เธอเคยรับชมในวัยเยาว์ แถมบรรดาละครเหล่านี้ก็เป็นต้นแบบของครอบครัวฉบับอเมริกันดรีมเสียด้วย แต่ท้ายที่สุดแล้วเธอก็ต้องสูญเสียพวกเขาไปอีกครั้งเพื่อเผชิญหน้ากับความจริงอันแสนโหดร้าย
ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถโอบรับความจริงได้เสมอไป เมื่อวันด้าซึ่งกลายเป็นสการ์เล็ต วิทช์เป็นค้นพบว่าในพหุจักรวาลอื่นๆ ลูกๆของเธอมีตัวตนอยู่จริงๆ มันจึงปลุกเร้าให้เธอต้องการที่จะเดินทางข้ามไปยังจักรวาลอื่นเพื่อเป็นคุณแม่อีกครั้ง ประกอบกับการที่เธอค้นพบว่าอเมริกา ชาเวซจะสามารถทำให้เธอบรรลุเป้าหมายนั้นได้ ในห้วงเวลานี้สการ์เล็ต วิทช์จึงไม่สนใจว่าคนอื่นจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร สนแค่ว่า “หนทางไหน” ที่จะทำให้เธอสามารถมีความสุขอีกครั้ง
ท้ายที่สุดแล้วถึงแม้ว่าหนังจะเขียนบทให้สการ์เล็ต วิทช์ต้องเผชิญหน้ากับวันด้าในอีกจักรวาลหนึ่งอย่างแบบเรียบง่าย ไม่ได้มีฉากต่อสู้อลังการ แต่ความเรียบง่ายนี้กลับยิ่งใหญ่ในความรู้สึก เมื่อความต้องการของสการ์เล็ต วิทช์ ซึ่งเธอทำร้ายวันด้าในอีกจักรวาลหนึ่งจนลูกๆของเธอเกิดอาการตกใจและหวาดกลัว พฤติกรรมของเธอสามารถทำให้คนดู(และตัวสการ์เล็ต วิทช์) เข้าใจได้ในเพียงไม่กี่นาที ว่าสุดท้ายแล้ว ความพยายามที่จะแย่งชิงในสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเองมานั้น ไม่เคยทำให้ผู้ครอบครองมีความสุข
สการ์เล็ต วิทช์ที่รู้ซึ้งแล้วว่า ต่อให้เธอจะได้เป็นแม่ในจักรวาลอื่น เธอก็คงไม่มีความสุขด้วยความเข้าใจและสิ้นหวังหมดอาลัยตายอยาก วันด้าในอีกจักรวาลที่มองเห็นความเศร้าของตัวเองในอีกจักรวาลหนึ่งบวกกับการกลายร่างเป็นสการ์เล็ต วิทช์ น่าจะพอทำให้เธอเกิดความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจในตัวตนของเธอ (ในอีกด้านหนึ่ง) ว่าสการ์เล็ต วิทช์คงผ่านอะไรมาเยอะแยะมากมาย จนคำพูดที่ว่า “ในโลกนี้ลูกของเธอมีความสุขดี” ถือเป็นคำปลอบประโลมสั้นๆที่ทำให้สการ์เล็ต วิทช์กลับมาไตร่ตรองว่าสิ่งตัวเองทำมาทั้งหมดนั้นมันผิด
เรื่องน่าเศร้าที่สุดก็คือตลอดชีวิตของวันด้า เธอล้วนแล้วแต่พบเจอกับความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า เราอาจจะรู้สึกเข้าอกเข้าใจเธอได้อย่างไม่ยากเย็นนัก วันด้าเป็นตัวละครที่ “ร้าย” ที่เราเองก็เกลียดเธอไม่ลง เพราะหากเราไปตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกับเธอ ตัวเองก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำไปว่า ถ้าเรามีโอกาสที่จะมีความสุขสักครั้งในชีวิต ไม่ว่ามันจะต้องข้ามจักรวาลไปหาสิ่งนั้น เราจะทำมันไหม หรือเราจะกอดความเศร้า ความสูญเสียไปจนวันตาย
บางครั้งในหุบห้วงอารมณ์ที่อยู่ที่ก้นเหว อะไรที่คว้าได้เราอาจจะคว้าแบบวันด้าก็เป็นได้