Senior Year หลับไป 20 ปี ตื่นมาอีกทีเหี่ยวเป็นป้าแล้วค่ะ! รำลึกหนังไฮสคูลยุค 2000 ได้ทาง Netflix

Senior Year หลับไป 20 ปี ตื่นมาอีกทีเหี่ยวเป็นป้าแล้วค่ะ! รำลึกหนังไฮสคูลยุค 2000 ได้ทาง Netflix

Senior Year หลับไป 20 ปี ตื่นมาอีกทีเหี่ยวเป็นป้าแล้วค่ะ! รำลึกหนังไฮสคูลยุค 2000 ได้ทาง Netflix
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หนังพล็อตวายป่วง ว่าด้วยเด็กสาวมัธยมที่บังเอิญประสบอุบัติเหตุกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราไปเกือบ 20 ปี ปรากฏว่าพอเธอตื่นขึ้นมาอีกที สภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนไปหมด มิหนำซ้ำร่างกายของเธอก็แก่ตัวไปตามวัย ทว่าสิ่งที่เธอต้องทำให้สำเร็จคือการต้องเรียนจบชั้นม.ปลายให้ได้ ในวัย 37 ปี!

สเตฟานี คอนเวย์ (แองกอรี่ ไรซ์) สาวน้อยจากออสเตรเลีย ที่โยกย้ายครอบครัวมายังอเมริกาในช่วงไฮสคูล ในฐานะเด็กสาวธรรมดาที่อยากจะกลายเป็นดาวเด่นประจำโรงเรียน ความฝันของเธอในวัยทีนคือการได้เป็นสาวป๊อป ที่ได้ควงกับหนุ่มนักกีฬารูปหล่อ และท้ายที่สุดคือการได้เป็นพรอมควีนในงานพรอมตอนซีเนียร์ก่อนเรียนจบ

ทว่าการไต่เต้าไปสู่ความฝันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเอาเสียเลย เมื่อเธอต้องแข่งขันรัศมีความปังกับทิฟฟานี (อนา หยี พุชช์) ที่ไม่อยากจะพลาดตำแหน่งราชินีงานพรอมเช่นกัน สเตฟานีทำทุกวิถีทางในการจะก้าวเดินไปสู่ตำแหน่งที่วาดฝันเอาไว้

ความฝันที่เธออยากจะได้รับ “สิทธิ์” ในการเป็นคนป๊อป คือการที่ตัวเธอมองเห็นเหล่าศิลปินป๊อปสตาร์ในวงการบันเทิงที่เฉิดฉายโลดแล่นอยู่ใต้แสงแฟลช ไม่ว่าจะเป็น บริทนีย์ สเปียร์ มาดอนน่า จัสติน ทิมเบอร์เลค แมนดี้ มัวร์ ฯลฯ ยังไม่รวมไปถึงบรรดาคอลัมน์ในนิตยสารประเภท How to ที่กลายมาเป็นจุดผลักดันให้สเตฟานีตัดสินใจลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการลุกขึ้นมาเต้นเลียนแบบมิวสิควิดีโอตามเพลงดังๆ จนตัวเองได้ไต่เต้ามาเป็นกัปตันทีมเชียร์ลีดเดอร์ เที่ยวแจกยิ้มปลอมๆให้คนอื่นไปทั่วทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้รู้จัก จนสุดท้ายเธอก็ได้ควงกับหนุ่มสุดฮอตประจำโรงเรียนและรักษาพรหมจรรย์ของตัวเองเอาไว้ก่อนจะเรียนจบ (ตามธรรมเนียมหนังไฮสคูลยุค 2000 ทุกประการ)

ในทุกๆวันที่สเตฟานีขับรถผ่านบ้านของเดียนา รุซโซ อดีตกัปตันทีมเชียร์แห่งโรงเรียนมัธยมฮาร์ดิ้งและนั่งแท่นราชินีงานพรอมปี 1995 เธอมีชีวิตครอบครัวที่เป็นทุกอย่างในแบบที่สเตฟานีวาดฝัน คือการมีบ้านหลังโตและแต่งงานกับหนุ่มนักร้องบอยแบนด์ ราวกับนี่คือจุดหมายอันสูงสุดของชีวิต ในขณะที่เพื่อนสนิทของเธออย่างเซ็ธกลับมองเห็นเนื้อแท้ของสเตฟานีว่า “เธอมีอะไรดีมากกว่าที่จะกลายเป็นเดียนา รุซโซเบอร์ 2”

อนาคตที่กำลังจะสดใสของสเตฟานีเกิดกลับตาลปัตรเมื่อ โชว์เชียร์ลีดเดอร์เกิดผิดแผน ในจังหวะโยนตัวสเตฟานี ทำให้เธอตกลงมาหัวกระแทกพื้นและกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราไปร่วม 20 ปีเต็ม ใครจะไปคิดว่าเธอจะกลับมาฟื้นคืนสติอีกครั้ง (ชีวิตจริงทางการแพทย์สเตฟานีคงถูกคุณหมอวินิจฉัยว่าสมองตายและนอนเป็นผักไปแล้ว แต่เมื่อมันเป็นหนังตลก ทุกอย่างจึงเกิดขึ้นเพื่อให้ตัวละครได้กลับมาสะสางสิ่งที่ตัวเองยังไม่ได้ทำ)

การได้ฟื้นกลับมาชีวิต อาจจะเป็นทั้งเรื่องที่ดีและร้าย เมื่อตัวละครอย่างสเตฟานี (เรเบล วิลสัน) ได้ค้นพบว่าสิ่งที่ตกค้างในความทรงจำของเธอยังเป็นยุค 2000 ในขณะที่โลกปัจจุบันก้าวไปถึงปี 2022 เพื่อนรักของเธอกลายเป็นคุณครูใหญ่ โทรศัพท์มือถือที่สามารถดูวิดีโอได้ คำพูดหรือวลีบางอย่างกลายเป็นคำต้องห้ามหรือมีความละเอียดอ่อนมากยิ่งขึ้น ยังไม่รวมไปถึงการค้นพบว่าคนรักเก่าของตัวเองดันไปแต่งงานกับคู่อริและมีชีวิตสุดปังในบ้านของเดียนา รุซโซ!

อย่างไรก็ตามสเตฟานี่พยายามที่จะทบทวนชีวิตของตัวเอง และเธอมองว่าการที่ช่วงเวลากว่า 20 ปีที่หายไป บีบให้เธอต้องกระโดดไปเป็นผู้ใหญ่ทันทีทันใด ไม่ใช่เรื่องที่แฟร์กับชีวิตของเธอเลยสักนิดเดียว 1 เดือนก่อนเรียนจบมัธยมและงานพรอม ยังเป็นภารกิจที่เธอรู้สึกว่ามันคือ “สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ” (Unfinished Business) และเธอต้องทำมันก่อนที่จะก้าวเดินต่อไป

ในระหว่างที่เธอหลับไปกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา โลกและสังคมในรั้วโรงเรียนก็เปลี่ยนแปลงไปคนละขั้ว หนุ่มป๊อป สาวป๊อป และงานพรอมได้เปลี่ยนแปลงไป การเป็น LGBTQ ไม่ใช่เรื่องเร้นลับต้องแอบซุกไว้เงียบๆกันอีกต่อไป สิ่งที่ยากเย็นที่สุดคือการที่สเตฟานีเองต้องปรับตัว ปรับทัศนคติให้เข้ากับบริบทสังคมเหล่านี้ด้วยเช่นกัน

มีหนึ่งฉากที่น่าสนใจมากคือ เมื่อเพื่อนๆในโรงเรียนชวนเธอมาทำงานกลุ่มที่บ้าน เมื่อบรรดาเพื่อนๆพยายามบอกว่าพวกเธอไม่เก๋ ไม่คูลพอที่จะได้รับเชิญไปงานปาร์ตี้ สเตฟานีจึงเล่าวีรกรรมในอดีตที่แปรเปลี่ยนให้เธอกลายเป็นสาวป๊อปได้ในชั่วข้ามคืน นั่นคือการเต้นแบบปังๆที่ทำให้ชายหนุ่มต้องเหลียวมอง และทันใดนั้นสเตฟานีก็เริ่มเต้นเพลง (You Drive Me) Crazy ของบริทนีย์ สเปียร์

เมื่อเพลงเข้าสู่ท่อนฮุคหนังก็ตัดภาพไปเป็นสเตฟานีกำลังเต้นคัฟเวอร์ท่าเต้นในเอ็มวีเพลง (You Drive Me) Crazy แบบช็อตต่อช็อต มันอาจจะเป็นฉากโชว์เต้นเลียนแบบอันแสนธรรมดา แต่เมื่อลองวิเคราะห์แล้ว อย่างที่เราบอกไปห้วงความคิดของตัวละครนี้ยังอยู่ในยุค 2000 การได้เลียนแบบศิลปินที่เธอชื่นชอบ และมันยังอธิบายได้ชัดเจนว่าตัวละครอย่างสเตฟานียังจมอยู่ในภาพแฟนตาซีของตัวเอง ประหนึ่งว่าเธอได้สวมวิญญาณเป็นเจ้าหญิงแห่งวงการเพลงป๊อปอย่างบริทนีย์ สเปียร์ เพราะท้ายที่สุดแล้วเมื่อหนังตัดสลับภาพกลับมา เธอและเพื่อนๆอยู่ในสภาพ “เต้นแร้งเต้นกา” กับเพื่อนๆ ภายในห้องนั่งเล่นมากกว่า เต้นคัฟเวอร์จริงๆจัง (ถ้าพูดในเห็นภาพแบบในยุคนี้คือการทำชาร์เลนจ์เต้นใน TikTok นั่นแหละครับ)

ท่ามกลางมุกตลกโปกฮาที่อาจจะขำบ้าง แป้กบ้าง แต่สิ่งสำคัญที่หนังอย่าง Senior Year ยังคงแม่นยำคือการเปรียบเทียบเรื่องราวในรั้วโรงเรียนระหว่างสองยุคสมัยอย่างปี 2000 และปี 2020 ที่ไม่ว่าบริบทของสังคมจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร จะมีการแปลงโฉมการแบ่งประเภทของผู้คนให้เบลอและเลือนลางมากแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วความเป็นวัยรุ่น ทุกคนพยายามที่จะมีตัวตน ได้รับการมองเห็น และเป็น “ซัมบอดี้” (Somebody) มากกว่าอยากจะเป็นแค่ “โนบอดี้” (Nobody) หรือไร้ตัวตนกันทั้งนั้น

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook