Halftime สารคดีเปลือยชีวิตเจนนิเฟอร์ โลเปซ บนโลกนี้ขอ "พื้นที่" ให้แม่ยืนหน่อย
การจะกลายเป็นดาวค้างฟ้าที่โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงฮอลลีวูดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ใครจะไปคิดว่า “ไอคอน” อย่างเจนนิเฟอร์ โลเปซกับเส้นทางชีวิตที่กำลังอยู่ในช่วง “ขาขึ้น” มาที่สุดของอาชีพการงาน เธอกลับต้องฝ่าฟันอคติทางเชื้อชาติ การคาดหวังว่าตัวเองจะได้ยอมรับในฐานะนักแสดง ติดตามความเข้มข้นทรงพลังนี้ได้ ในสารคดี Halftime จาก Netflix
คนในยุคปลาย 90-2000s ไม่มีใครไม่รู้จักผู้หญิงที่ชื่อ “เจนนิเฟอร์ โลเปซ” ถ้าหากจับเธอมาเรียงแถวบรรดานักร้องหญิงในระดับไอคอนในยุคสมัยนั้น เธอถือว่าเป็นนักร้องที่มีผลงานโดดเด่น และเพลงติดหูมากมาย ยังไม่รวมไปถึงผลงานภาพยนตร์ที่เธอนำแสดง โดยถ้าเรามองย้อนกลับไปในปี 1997 ผลงานเรื่อง Selena ทำให้ “เจ.โล” ได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ (Golden Globes) ในฐานะนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม
ปี 1999 เจ.โล เดบิวต์ในฐานะ “นักร้อง” กับอัลบั้มแรกในชีวิตอย่าง On the 6 ที่มาพร้อมซิงเกิลฮิตไม่ว่าจะเป็น If You Had My Love, Waiting for Tonight และ Let’s Get Loud โดยชีวิตการทำงานในฐานะศิลปินหญิงในยุคสมัยนั้น ล้วนแล้วแต่มาควบคู่กับข่าวฉาว จนหนังสือพิมพ์ประเภทแท็บลอยด์ หนังสือกอสซิป เอาแต่โฟกัสอยู่แค่ เรื่องชีวิตส่วนตัวของเธอ การที่เธอออกเดทกับชายหนุ่มในวงการ จนหลงลืมที่จะให้ความสำคัญกับผลงานของเจ.โล
แม้ชื่อเสียงและเสีย จะมาพร้อมๆกัน ตีคู่สูสีกันอยู่ตลอดเวลา ผลงานการแสดงของเจ.โล ในยุคปี 2000 เป็นต้นมา ผลงานการแสดงของเธอเทไปในทาง “นางเอกหนังรอมคอม” จนเธอถูกครหาว่า เธอเล่นหนังไม่เป็น การแสดงย่ำแย่ ในฐานะนักร้อง เจ.โล ก็ไม่ใช่ศิลปินจริงๆแต่อาศัยข่าวฉาว ทำให้ตัวเองโด่งดังเป็นกระแสอยู่ตลอดเวลา ในสารคดี Halftime ได้หยิบประเด็นนี้มาคุยกับตัว เจ.โล เธอก็เผยจากใจเลยว่า เมื่อมีคนกรอกหูเธอแบบนั้นอยู่ตลอดเวลา ชีวิตการทำงานของเธอก็เกือบล่มจมเพราะมัวแต่เชื่อคนพูดคนอื่นอยู่เหมือนกัน
ตลอดช่วงเวลาที่เจนนิเฟอร์ โลเปซ ดำเนินอาชีพในฐานะศิลปินมาจวบจนถึงปัจจุบันนี้ เธอไม่เคยได้รับรางวัลในเวทีใหญ่ๆ เลยสักครั้ง แม้เธออาจจะได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงบนเวทีลูกโลกทองคำจาก Selena และ Hustlers แต่ท้ายที่สุดแล้ว เธอก็ไม่เคยจะได้รางวัลมาครอบครอง ไม่ต้องหวังไปถึงเวทีออสการ์ที่ แม้ว่าบรรดานักวิจารณ์จะลงความเห็นกันเป็นเอกฉันท์ด้วยซ้ำไปว่า การแสดงของเธอในบทราโมน่า นักเต้นระบำเปลื้องผ้าที่ต้องสู้ชีวิตและนำพาตัวเองให้ไปอยู่ในจุดที่ฝันเอาไว้ คือบทที่ดีที่สุดตั้งแต่ที่เธอแสดงมา แต่ออสการ์ก็ดับฝันของเจ.โล ด้วยการไม่มีแม้กระทั่งจะได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลด้วยซ้ำไป
ในวินาทีที่เจ.โล “วืด” จากการถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบนเวทีออสการ์ ในแววตาของเธอเต็มไปด้วยความผิดหวัง แต่นั่นไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกพ่ายแพ้แต่อย่างใด เนื่องจากปี 2019 เธอยังมีอีกหนึ่งภารกิจที่เจ.โล ต้องทำให้ดีที่สุด นั่นคือการที่เธอต้องขึ้นโชว์ “พักครึ่ง” (Halftime Show) ในการแข่งขัน Super Bowl แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเอาเสียเลย เมื่อทาง NFL จับเธอแสดงคู่กับ ชากีราโดยให้เหตุผลว่าศิลปินเชื้อสายละตินสองคนน่าจะดึงดูดผู้ชมได้มากกว่า (แต่ในมุมมองของผู้จัดอาจจะมองว่าศิลปินคนเดียวอาจจะไม่เพียงพอที่จะเป็นกระแสก็เป็นได้)
แน่นอนว่าเจ.โล ไม่พอใจ แต่ในอีกมุมหนึ่งเมื่อเธอยอมรับข้อเสนอแล้ว เธอจึงพยายามทำทุกอย่างให้ออกมาดีที่สุดลงตัวที่สุด และหนทางแรกคือการที่เธอตัดสินใจต่อสายตรงเพื่อคุยกับชากีราแบ่งเวลากันแบบแฟร์ๆให้แต่ละคนได้มีโอกาสโชว์ฝีมืออย่างเต็มที่
โจทย์ที่ยากที่สุดคือการทำโชว์ที่ยัดทะนานไปด้วยเพลงฮิตมากมายของตัวเธอเองภายในเวลาประมาณ 6 นาทีเศษ ความพยายามในการแทรกสอดแนวคิดทางการเมือง โดยในช่วงเวลานั้นโดนัลด์ ทรัมป์ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา มีนโยบายสร้างกำแพงสูงเพื่อกีดกันบริเวณพรมแดนประเทศเม็กซิโก เพื่อป้องกันผู้อพยพ โดยประเด็นนี้ได้สร้างความสะเทือนใจให้กับเจ.โล ในฐานะที่ตัวเธอเองมีเชื้อสายละติน-อเมริกา ไม่ต่างอะไรจากบรรดาคนเม็กซิกันที่มีเชื้อสายละตินอเมริกันเช่นกัน
ความพยายามแทรกสอด สัญลักษณ์ของการเป็นผู้หญิง เด็กสาวและกรงขัง ไปจนถึงการเอาธงชาติมาห่อหุ้มตัว ทุกอย่างได้กลายเป็นโมเมนต์ที่น่าจดจำในการแสดง Halftime Show ในปี 2019 ยังไม่รวมไปถึงบรรดาเพลงฮิตที่ในทุกการแสดงของเจ.โล เต็มไปด้วยสไตล์การเต้นอันร้อนแรง หลากหลาย หวือหวา และเต็มไปด้วยการโชว์ทักษะที่สั่งสมมาทั้งชีวิตการทำงานของตัวเธอเอง จนเราอาจจะกล่าวได้ว่ามันเป็นการแสดงที่แทบเล่นเอาคนดูหยุดหายใจกันไปเลย
อย่างไรก็ตามที สารคดี Halftime ไม่ใช่แค่การสะท้อนชีวิตการทำงานในฐานะศิลปิน แต่มันยังเป็นการตั้งคำถามถึงคุณค่าในตัวเองของคนคนหนึ่งด้วย ว่าต่อให้สังคมและคนอื่นจะกรอกหูและนิยามตัวตนของเราเช่นไร ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจและเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำ เราไม่ควรจะหยุดความฝัน หยุดขีดความสามารถของตัวเอง เพราะทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีเรื่องราวใหม่ๆรอคอยให้ทำให้เริ่มต้น “ฉากใหม่” ของชีวิตอยู่เสมอ
คำว่า Halftime จึงอาจจะไม่ได้หมายความแค่ “โชว์พักครึ่ง” เท่านั้น แต่มันอาจจะหมายถึง “ครึ่งชีวิต” ของเจ.โล. ในวัย 50 ที่มุ่งมั่นและพร้อมจะลุยสร้างสรรค์ผลงานให้โลกได้จดจำเธอในฐานะศิลปินต่อไป