The Sea Beast แอนิเมชั่น Netflix เส้นเรื่องสนุก กระตุกแนวคิดกับนิยามของคำว่า “เรื่องเล่า”

The Sea Beast แอนิเมชั่น Netflix เส้นเรื่องสนุก กระตุกแนวคิดกับนิยามของคำว่า “เรื่องเล่า”

The Sea Beast แอนิเมชั่น Netflix เส้นเรื่องสนุก กระตุกแนวคิดกับนิยามของคำว่า “เรื่องเล่า”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 

ผลงานแอนิเมชั่นเรื่องล่าสุดจาก Netflix ได้ตัวผู้กำกับอย่างคริส วิลเลียม มาควบหน้าที่ทั้งกำกับและเขียนบท โดยผลงานก่อนหน้านี้เขาผ่านงานกำกับแอนิเมชั่นจากดิสนีย์ทั้ง Bolt และ Big Hero 6 รวมไปถึงนั่งแท่นผู้กำกับร่วมใน Moana ด้วย

ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากที่ The Sea Beast ถูกปล่อยลงสตรีมมิ่ง Netflix ไปเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา แอนิเมชั่นเรื่องนี้ได้รับการตอบรับจากผู้ชมเป็นอย่างดีจนติดเทรนด์หนังที่ได้รับความนิยมเมื่อรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้วยการขึ้นอันดับหนึ่ง และยังได้รับการพูดถึงประเด็นทางการเมืองที่ถูกแทรกอยู่ในช่วงไคลแมกซ์ของเรื่องอย่างเผ็ดร้อนทางทวิตเตอร์บ้านเรา

อันที่จริง The Sea Beast บอกเล่าเรื่องราวการเดินเรือเพื่อล่าอสูรกายยักษ์ในน่านน้ำของเจคอบ ฮอลแลนด์ (พากย์เสียงโดยคาร์ล เออร์บัน) ผู้เป็นลูกมือคนเก่งของกัปตันโครว์ (พากย์เสียงโดยจาเร็ด แฮร์ริส) โดยในอดีตนั้นเจคอบเป็นเด็กชายผู้รอดชีวิตมาจากเหตุการณ์เรืออับปางเพราะถูกอสูรทะเลโจมตี ส่งผลให้พ่อและแม่เจคอบเสียชีวิตไปในวันนั้น และเขาได้รับความช่วยเหลือจากกัปตันโครว์จนกระทั่งเติบใหญ่กลายเป็นหนุ่ม

เรื่องราวของเจคอบในตอนต้น หนังได้นำเสนอว่าเรื่องราวดังกล่าว ถูกเมซี (พากย์เสียงโดยซาริส-แองเจิล ฮาเตอร์) นำมาเล่าเป็น “นิทานก่อนนอน” ให้กับเหล่าเด็กกำพร้า ที่หลงใหลในความเป็น “วีรบุรุษ” ของเจคอบ ความฝันของเมซี คือสักวันเธอจะได้กลายเป็นนักล่าอสูรกายในท้องทะเลด้วยเช่นกัน

หลังจากนิทานก่อนนอนจบลง เมซีได้ตัดสินใจจะหนีออกสถานเด็กกำพร้าเพื่อไปตามหาไอดอลของตัวเอง ประจวบเวลาพอเหมาะพอเจาะ เมื่อเรือล่าอสูรพิชิตสมุทร ที่มีเจคอบและกัปตันโครว์ มาจอดเรือเทียบท่าเพื่อขึ้นเงินรางวัล และเข้าเฝ้าเหล่าราชวงศ์ที่ให้การสนับสนุนในการออกล่าอสูรกายผืนทะเล

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้เข้าเฝ้าพระราชาและพระราชินี กัปตันเรือและเจคอบกลับถูกต่อว่า ว่าทำไมพวกเขาจึงได้ละทิ้งการไล่ล่าอสูรกาย “แดงคำราม” ให้หลุดมือไป เนื่องจากราชวงศ์มองว่าการทำเช่นนั้นไม่ต่างอะไรจากการละทิ้งหน้าที่ในการปราบสัตว์ร้ายที่อาจจะสร้างความเสียหายให้กับเรือลำอื่นๆในท้องทะเล

นอกจากนี้พระราชาและพระราชินียังพาเหล่าลูกเรือมาชมเรือจอมทัพซึ่งติดอาวุธหนักรอบลำเรือ พวกเขานิยามว่ามันเป็นเรือที่ทรงพลังที่สุดในปฐพี และมีเป้าหมายที่จะให้กองทัพเรือของตัวเองออกพิชิตเหล่าอสูรกายใต้ผืนน้ำทุกตัวให้สิ้นซาก และตัดความสำคัญของเหล่านักล่าตัวจริงออกไปในอนาคต แต่หลังจากที่กัปตันโครว์ได้ยินเช่นนั้น เขาจึงรีบอธิบายความจริงที่ว่า คนที่ไม่เคยออกเรือไปพบกับอสูรกายตัวจริง เอาแต่นั่งคิดเอาเองว่ามีอาวุธครบมือแล้วก็จะสามารถพิชิตทุกอย่างได้นั้น มันช่างเป็นความคิดที่โง่เขลา และจะพาเอาเหล่าทหารไปตายเปล่า

หลังจากที่เขาปะทะคารมกับท่านแม่ทัพ (ที่คิดว่าตัวเองฉลาดเหลือเกิน) กัปตันโครว์ก็เริ่มเดือดดาลและระบายอารมณ์ใส่คนในวังว่า ระหว่างที่พวกเขาได้แต่ชี้นิ้วสั่ง ให้ชาวเรืออย่างพวกเขาแลกกับการออกไปเสี่ยงชีวิตเสียเลือดเนื้อ เพื่อเปิดพรมแดนทะเลขยายความยิ่งใหญ่ของอาณาจักร ตัวเองกลับนั่งสุขสบายและไม่เคยเข้าใจชีวิตการเป็นนักล่าที่แท้จริงเลยสักนิดเดียว

เมื่อการปะทะคารมอันดุเดือดที่เกือบจะจบลงด้วยการยุติบทบาทของ “นักล่า” เจคอบพยายามยื่นข้อเสนอกับราชวงศ์ว่า ถ้าพวกเขาได้รับโอกาสในการออกล่าอสูรแดงคำรามได้สำเร็จ เหล่าราชวงศ์ต้องรักษาสัญญาในการให้เหล่านักล่าอสูรได้ทำงานของตัวเองต่อไป  

ระหว่างที่ออกเดินเรือกลับไปสู่น่านน้ำอีกครั้ง เจคอบพบว่าเมซีได้แอบซ่อนตัว มาอยู่บนเรือพิชิตสมุทร หลังจากนั้นไม่นานเมื่ออสูรกายแดงคำรามได้ปรากฏตัวขึ้น เมื่อเมซีได้สบตากับอสูรกาย เธอกลับค้นพบว่า “มีบางอย่าง” ที่ผิดปกติ และบางทีสัตว์ยักษ์เหล่านี้อาจจะไม่ได้ร้ายกาจอย่างที่ทุกคนเคยคิดก็เป็นได้

ช่วงกึ่งกลางของหนัง คือช่วงเวลาที่พาคนดูไปเห็น “อีกด้าน” ของเหล่าสัตว์ยักษ์ การเดินทางเข้าไปในพื้นที่ ที่มนุษย์ไม่เคยย่างกรายเข้าไปมาก่อน พวกเขาได้เรียนรู้ชีวิต ทำความเข้าใจซึ่งกันและกันก่อนจะค้นพบว่าบางทีแล้วไม่เคยมีสิ่งใดเป็น “ตัวร้าย” ตัวจริง เว้นเสียเพียงแต่ว่า “ใคร” ที่เป็นคนเล่าเรื่องราวเหล่านั้น

แน่นอนว่าเมื่อตัวละครอย่างเมซีได้ค้นพบความจริงที่ว่า เรื่องราวของอสูรร้ายในท้องทะเลนั้น ถูกเล่าขาน จดบันทึกและประทับตราด้วยสำนักพระราชวัง นั่นหมายความว่ากุศโลบายในการออกล่าสัตว์ยักษ์ เป็นแค่เพียงแผนการหนึ่งที่จะใช้ประกาศพื้นที่และอาณาเขตของตัวเองให้กว้างไกลออกไปของเหล่าราชวงศ์ เหล่าสัตว์น้ำตัวยักษ์ที่อยู่ใต้ผืนน้ำ จึงกลายเป็นเพียงเหยื่อตัวหนึ่งในกระดานเขียนแผนที่ของอาณาจักรที่พยายามจะขยายอำนาจของตัวเองก็เท่านั้น

ในขณะที่ตำนานและเรื่องราวที่ถูกสร้างขึ้น สืบทอดกันมาอย่างช้านาน กลายเป็นแค่เพียง “มายาคติ” ที่ผู้มีอำนาจ ใช้ความหวาดกลัวเข้ามาเป็นเครื่องมือ ในการสานต่อให้เจตนารมณ์นั้นดำเนินต่อไป

ใครจะไปคาดคิดว่าวันหนึ่งเด็กสาวผู้เคยมีความฝันว่าจะกลายเป็นนักล่าอสูรกายจะได้ค้นพบว่า นิทานก่อนนอนและตำนานที่เธอเติบโตมา กลายเป็นเรื่องราวปาหี่ และตรงกันข้ามกับความเป็นจริงเมื่อเธอได้ออกไปสัมผัสโลกกว้าง และในท้ายที่สุดเมื่อเธอกลับมายังอาณาจักรและพยายาม “ส่งเสียง” ว่าแท้จริงแล้ว เราทุกคนในดินแดนนี้ถูกหลอกมาอย่างเนิ่นนานเพียงเพราะความกินดีอยู่ดีของเพียงไม่กี่หยิบมือ

ใครจะไปคิดว่าตอนจบของแอนิเมชั่นผจญภัยที่เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี จะมาพร้อมกับประเด็นที่ทรงพลังถึงเพียงนี้ ท้ายที่สุดแล้ว “เรื่องเล่า” นั้นหากเล่าอย่างมีพลังและมีวัตถุประสงค์อันแจ่มชัด สิ่งนี้จะกลายเป็นอาวุธที่ทรงพลังมากที่สุดยิ่งกว่ากระบอกปืนเสียด้วยซ้ำไป

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook