"เวกัส" ที่ไม่ใช่ชื่อเมือง แต่เป็นผู้ชายเหงาคนหนึ่งกับ KinnPorsche The Series
หลังจากที่ได้เขียนถึงคู่เอกของเรื่องอย่างคินน์และพอร์ชไปแล้ว อีกหนึ่งตัวละครที่เราจะอดพูดถึงไม่ได้เลย คือตัวละครอย่างเวกัส ซึ่งรับบทโดย ไบเบิ้ล-วิชญ์ภาส สุเมตติกุล ซึ่งแม้ในช่วงแรกๆของซีรีส์ เขาอาจจะดูเป็นตัวร้ายแบบแบนๆ แต่ยิ่งเข้าใกล้บทสรุปมากขึ้นแค่ไหน เรากลับยิ่งได้เห็น “มิติ” ของตัวละครนี้ในแบบที่เราคาดไม่ถึงเช่นกัน
ถึง KinnPorsche The Series จะวางหมวดตัวเองอยู่ในซีรีส์แนวมาเฟีย อาชญากรรม แต่จริงๆ แล้วท่ามกลางเส้นเรื่องที่ดูหนักอึ้งกลับแทรกสอดมุกตลกตามรายทางของเรื่องราว นอกเหนือจากอารมณ์ขันที่ช่วยเบรกความตึง การบริหารเสน่ห์ของเหล่านักแสดง คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราเอ็นดู และเทใจให้กับตัวละครที่พวกเขาสวมบทบาท
หากเราลองจับตาและวิเคราะห์อารมณ์ขันที่เกิดขึ้นในเรื่อง โดยส่วนมากแล้วจังหวะในการปล่อยความฮา เรียกรอยยิ้มจากคนดูมักจะอยู่กับทางฝั่งของตระกูลหลักธีรปัญญากูล ไม่ว่าจะเป็นคู่ระหว่างคินน์พอร์ชเอง บรรดาลูกน้องคนสนิท หรือพี่ชายคนโตอย่างแทนคุณ (ต๋อง ธนายุทธ) ที่มาพร้อมความอ๊องๆ ไม่ปกติ ซึ่งตรงกันข้ามกับโทนอารมณ์ของฝั่งตระกูลรองอย่างสิ้นเชิง ซึ่งทุกครั้งที่ตัวละครทางฝั่งนี้ปรากฏตัวขึ้นจะมาพร้อมกับดนตรีขึงขัง ใบหน้าจริงจัง และประเด็นชวนคนดูกุมขมับ
อย่างที่เราทราบกันดีว่า เส้นเรื่องหลักของ KinnPorsche The Series คือการช่วงชิงอำนาจระหว่างตระกูลหลักและตระกูลรอง โดยความคาดหวังของบรรดาคนรุ่นพ่ออย่างคุณ ธีรปัญญากูร, น้องชายของกรณ์ และอาของคินน์ (ปิยะ วิมุกตายน) และ กร ธีรปัญญากูร พ่อของคินน์ และหัวหน้าตระกูลธีรปัญญากุล (ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี) คือการผลักดันลูกชายของตัวเองให้กลายมาเป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อไปในอนาคตได้อย่างสมเกียรติ
ในฐานะลูกชายคนโตอย่างคินน์ เขาอาจจะต้องรับหน้าที่ในการดำรงอำนาจจากพ่อตัวเอง คอยสอดส่องเก็บงานว่ามีคนหักหลัง ทรยศต่อตระกูลหลักมากน้อยแค่ไหน แม้ว่าเขาเองจะแอบระแคะระคายอยู่เรื่อยๆว่า เวกัสจากตระกูลรองพยายามวางแผนในการจะช่วงชิงอำนาจ แต่ในหลายๆครั้งพวกเขาก็ได้ค้นพบว่าเมื่อถึงคราววิกฤต ในโลกของมาเฟีย บางครั้งเราก็อาจจะต้องพักเรื่องผลประโยชน์ในอนาคตและหันมาจับมือเป็นพันธมิตรชั่วคราว เพื่อให้ทุกคน “มีชีวิตรอด” และค่อยไปสู้กันต่อในภายภาคหน้า
ขณะที่เมื่อเราลองไปทางฝั่งเวกัส ลูกชายคนโตประจำตระกูลรอง ที่ตัวเองก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เต็มใจนักกับการมารับหน้าที่ในการช่วยพ่อตัวเอง เพื่อขึ้นสู่ความเป็นใหญ่ ในช่วงแรกของซีรีส์เราอาจจะเห็นความพยายามที่เขาจะขายขนมจีบพอร์ช ซึ่งไม่ว่าจะทำไปเพียงเพื่อผลประโยชน์หรือกลั่นแกล้งคินน์ทางอ้อมก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าเวกัสจะมีความสุขมากขึ้นในยามที่เขาได้อยู่กับใครสักคนที่เขา “ถูกใจ”
ใบหน้านิ่งเรียบ กวนโอ้ย ไม่เป็นมิตร ยังไม่รวมไปถึงสำเนียงภาษาอังกฤษที่เรียกได้ว่า คล่องแคล่ว (Fluency) ในทุกครั้งที่ตัวละครนี้ เกิดปัญหาปมขัดแย้งและต้องพูดภาษาที่สองออกมา กลายเป็นส่วนผสมที่ทำให้ตัวละครเวกัสเป็นตัวละครที่น่าค้นหา และมีอะไรที่น่าสนใจมากขึ้นไปเรื่อยๆ
ท่ามกลางความซับซ้อนว่าตกลงแล้วเวกัสนั้นเป็น “ตัวร้าย” สีดำ หรืออยู่ในเฉดสีเทาๆ เราจะพบว่าเมื่อซีรีส์ดำเนินไปสู่หุบห้วงที่เขาต้องจับ พีท (บิว-จักรพันธ์ พุทธา) หัวหน้าบอดี้การ์ดของแทนคุณ มาเพื่อทรมานและล้วงความลับจากตระกูลหลัก เรากลับได้เห็นความสัมพันธ์แบบ BDSM ระหว่างตัวละครทั้งสองตัวนี้ ซึ่งเรียกได้ว่ากลายเป็นด้านลึก ที่เราแทบจะไม่ได้เห็นความสัมพันธ์แบบนี้ในซีรีส์วายบ้านเรา ซึ่งส่วนมากอยู่ในโทนสว่างกันเป็นส่วนใหญ่ แต่เมื่อโทนของ KinnPorsche The Series มาในหมวดซีรีส์มาเฟีย อาชญากรรม สิ่งนี้จึงกลายเป็นความลงตัว และถูกที่ถูกทาง
อันที่จริงในผู้เขียนอาจจะรู้สึกกังขาว่าซีรีส์หยิบใช้เรื่อง BDSM มาเพื่อสะท้อนภาพความรุนแรงทางเพศอย่างเดียวหรือไม่ เพราะคนส่วนมากในสังคมยังมองว่าความสัมพันธ์แบบนี้ถือเป็น “ความผิดปกติ” ทางจิตประเภทหนึ่ง แต่เปล่าเลย เมื่อเรื่องราวดำเนินต่อไป เรากลับได้พบว่า จริงๆแล้วการที่ตัวเวกัสเองชื่นชอบที่จะได้ออกคำสั่ง หรือเห็นบิวถูกจองจำ อยู่ใต้อาณัติของเขาก็เพราะว่า การที่ตัวเวกัสเติบโตมาภายใต้การเลี้ยงดูของพ่อตัวเอง ที่ได้แต่ออกคำสั่งและลงโทษเขาเมื่อทำงานผิดพลาดด้วยความรุนแรง พฤติกรรมดังกล่าวคล้ายกับการโอบรับพฤติกรรมเช่นนั้นมาไว้ในตัวและต้องการจะหาที่ปลดปล่อย
นอกจากนี้ยังมีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งที่เวกัส ได้เปิดอกระบายความในใจกับพีท ว่าทุกสิ่งที่พ่อเขามอบให้สำคัญทั้งหมด (ถึงจะเกลียดความรุนแรงจากพ่อตัวเอง แต่เขาก็รักพ่อของเขาในเวลาเดียวกัน) อะไรที่เขารัก ก็ทิ้งเขาไปเสมอ (จึงไม่แปลกใจว่าทำไมตัวละครอย่างเวกัสจึงอยากจะเก็บพีทไว้ในฐานะสัตว์เลี้ยง) เพราะคนอย่างเวกัสกลัวที่จะสูญเสียความรักไปซ้ำแล้วซ้ำอีก เขารู้สึกมาทั้งชีวิตว่าในฐานะที่เขาเกิดมาเป็นตระกูลรอง ทุกครั้งที่ทำดีแค่ไหนก็ไม่เคยมีใครเห็นหัว เขาจึงพยายามในทุกวิถีทาง เผลอๆอาจจะมากกว่าตัวละครทุกตัวในเรื่องด้วยซ้ำไป
ความเปราะบางทางอารมณ์ และการเลือกใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา การมีขั้วตรงข้ามอย่างพีทในการเคยเป็น “เสียง” ปลอบโยน และในขณะเดียวกัน ทั้งสองตัวละครนี้กลับดึงดูดกันด้วยการเติมเต็มทางอารมณ์ซึ่งกันและกัน ฉากเซ็กซ์ที่เกิดขึ้นในซีรีส์และการลากยาวไปถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของตัวละครเวกัสและพีท จึงเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ผู้เขียนสามารถกล่าวได้ว่า นี่คือความกล้าหาญชาญชัยในการนำเสนอ “ชายขอบ” ของความสัมพันธ์อีกแบบ ที่คนในสังคมควรรับรู้ ทำความเข้าใจ และเลิกตัดสิน เพียงแค่ครั้งหนึ่งเราเคยเข้าใจอะไรผิดๆ มา
อย่างที่บอกไปว่า KinnPorsche The Series ไม่ใช่แค่ซีรีส์วายฟินจิกหมอน แต่ทุกอย่างในเรื่องมาพร้อมเหตุผล มิติพัฒนาการตัวละคร ในแบบที่เราเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน
อัลบั้มภาพ 30 ภาพ