รีวิว ทวงคืน ขอทวงเวลาฉันคืนได้ไหม
หนังตลก สยองขวัญผลงานการกำกับของ แดน-วรเวช ดานุวงศ์ ที่ตกผลึกเอาชีวิตรักของตัวเองมาสร้างเป็นโจทย์ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าคู่รักอินฟลูเอนเซอร์ต้องไปร่วมชะตากรรมหนีผีด้วยกัน แต่ให้ตายเถอะ ทำไมมันเป็นหนังที่ช่างน่ารำคาญได้ถึงเพียงนี้
อาจจะเป็นรีวิวที่มาช้า เพราะตัวเองก็ไม่แน่ใจว่าจะควรเขียนรีวิวนี้ขึ้นมาหรือเปล่า เนื่องจากตลอดเวลาที่ชมภาพยนตร์เรื่อง ตัวเราเองกลับรู้สึก “หงุดหงิด” การกระทำตัวละครในเรื่องตลอดเวลา ถึงแม้เราจะรู้อยู่แก่ใจว่าพฤติกรรมงี่เง่าของตัวละครในเรื่องจะนำพาผู้ชมไปสู่มุกตลก หรือจังหวะจะโคนในการให้ผีโผล่มาหลอกพวกเขา แต่เมื่อเรารู้สึกไปตั้งแต่แรกแล้วว่า สิ่งที่พวกเขาทำ มันถือเป็นว่า “สิ่งต้องห้าม” ในหนังสยองขวัญ เราเลยอดไม่ได้ที่จะขัดใจและตั้งคำถามอยู่ตลอดเวลาว่า ถ้าหากเป็นมนุษย์จริงๆ เราจะเลือกแก้ปัญหากันแบบพวกเขาไหม
อันที่จริงแม้ว่าการหยิบชีวิตสุดหวานชื่นระหว่างแดนและ แพทตี้ อังศุมาลิน มาต่อยอดให้กลายเป็นบทภาพยนตร์ ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลก แต่มันไม่ดูเขินๆไปหน่อยเหรอที่ต้องประกาศให้โลกรู้แบบโจ่งแจ้งขนาดต้องกลายมาเป็น หนังขนาดยาวสักเรื่อง แม้ว่าความสัมพันธ์ของตัวละครของดิน (แดน วรเวช) และพลอย (แพตตี้ อังศุมาลิน) ในหนังจะสวนทางกับชีวิตจริง เพราะทั้งสองตัวละครนี้กำลัง “แสร้งรัก” กันเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ (อาชีพยูทูบเบอร์) แต่การตัดสินใจสร้างคอนเทนท์ชิ้นสุดท้ายเพื่อส่งงานให้กับบริษัทแหวนเพชร เลยกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ทั้งคู่ต้องทู่ซี้อยู่ด้วยกันต่อไป
ความวุ่นวายยังไม่จบเมื่อทั้งสองต้องมาพบกับ บริบูรณ์ (บีม กวี ตันจรารักษ์) ไลฟ์โค้ชที่ใช้ลูกน้อยมาทำมาหากิน และตั้งใจหนีจากการตามทวงคืนสิทธิ์ในการเลี้ยงลูกจากภรรยาของตัวเอง ส่งผลให้ทั้งสามคนต้องร่วมหัวจมท้ายเดินทางไปด้วยกัน แต่ความซวยก็บังเกิดเมื่อดินขับรถออกนอกเส้นทาง และประสบอุบัติเหตุ ลุงพล (สมชาย เข็มกลัด) ชายแปลกหน้าจึงอาสาที่จะพาทั้งสามไปพักแรมค้างคืนที่บ้านร้างเก่าแก่กลางทุ่งข้าวโพดอันห่างไกลผู้คน
ตามเซนส์ของคนปกตินั้น คงจะกระตุกคิดตั้งแต่แรกแล้วว่า “บ้านร้างกลางทุ่งข้าวโพด” นั้นคงมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ แต่เมื่อทั้งสามตัดสินใจจะพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาสในการถ่ายคอนเทนท์แนวล่าท้าผี ความหายนะเลยตามมาตามสูตรหนังตัวละครวิ่งหนีผี
ปัญหาประการสำคัญอยู่ที่การกำกับของตัวแดน วรเวช ที่ประสบปัญหานี้มาตั้งแต่หนังสองเรื่องแรกทั้ง "คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์" (2555) และ "ฤดูที่ฉันเหงา" (2556) คือเขาไม่สามารถร้อยเรียงหนังทั้งเรื่องให้ดูราบรื่นไปได้ตลอดทาง สิ่งที่เกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้เหมือนเป็นสถานการณ์ที่ถูกปะกาวเข้ากับฉากก่อนหน้า เรียงร้อยแบบนี้ไปเรื่อยๆจนเราเองรู้สึกว่าหนังวนอยู่กับที่ไม่ไปไหน จนสุดท้ายเราก็เกิดความรำคาญการดิ้นรนเอาตัวรอดของตัวละคร จนแอบสาปให้พวกเขาตายๆไป หนังจะได้จบและเราจะได้กลับบ้านไปนอนบนเตียงนุ่มๆซะที